“ชูวิทย์” โพสต์โว กรณียึดทรัพย์ตู้ห่าว รวมที่ยึดแล้วและกำลังจะยึดยอดประมาณ 8,345 ล้านบาท หากเป็นเงินที่เกี่ยวข้องยาเสพติด รมว.ยุติธรรมจะให้ 5%หรือประมาณ 417 ล้านบาท เป็นค่าชี้เบาะแส ขอยืนยันเป็นสัญญาประชาคม จะนำเงินทั้งหมดบริจาค เป็นกุศลผลบุญให้แก่คนไทยทั่วไปตามโรงพยาบาลทั่วประเทศ ไม่ขอนำเงินใช้ส่วนตัวแม้แต่บาทเดียว แฉเตือน ในเร็ววันนี้ หากไม่จัดการถอนรากถอนโคน จีนเทาจะกลับมาใหม่ ใหญ่กว่านายตู้ห่าวแน่ ด้าน ผบ.ตร.เผยเบาใจหลังสรุปสำนวนคดี “ตู้ห่าว” ให้อัยการ สูงสุด คาดถึงมือศาล 20 ม.ค.นี้ ไม่ติดใจ “ชูวิทย์” ตำหนิการทำงาน เชื่อเป็นเพราะหวังดี

ความคืบหน้าในการทลายธุรกิจทุนจีนสีเทา โดยมีนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตเสี่ยเจ้าของธุรกิจสถานบริการ และอดีตนักการเมือง ออกมาแฉความไม่โปร่งใสในการดำเนินการของตำรวจออกสู่สาธารณชนรายวัน จนกระทั่งสำนวนการสอบสวนไปถึงมืออัยการสูงสุด ล่าสุดเมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 14 ม.ค. นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว ชื่อ “ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” ว่ายึดทรัพย์ “ตู้ห่าว” หมื่นล้าน การทลาย “จินหลิง” ที่มีนายตู้ห่าวเป็นผู้ต้องหารายสำคัญ ยึดอายัดทรัพย์สินไปแล้วประมาณ 5,345 ล้านบาท และยังมีทรัพย์สินให้ยึดต่ออีก 3,000 ล้านบาท รวมประมาณ 8,345 ล้านบาท หากเป็นเงินที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด คุณสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม ชี้แจงไว้ว่า “ผู้ชี้เบาะแส อย่างนายชูวิทย์ จะได้เงินรางวัลนำจับ 5 เปอร์เซ็นต์ จากยอดทั้งหมด”

โพสต์นายชูวิทย์ระบุต่อว่า ผมขอใช้โอกาสนี้ชี้แจงแถลงไขให้ประชาชนทราบว่าหากผมได้รับรางวัล 5 เปอร์เซ็นต์จริง จากยอด 8,345 ล้านบาท จะตกอยู่ประมาณ 417 ล้านบาท ขอยืนยันไว้เป็น “สัญญาประชาคม” ว่า “จะขอนำเงินจำนวนนี้ทั้งหมด บริจาคเป็นกุศลผลบุญให้แก่คนไทยทั่วไป ตามโรงพยาบาลทั่วประเทศไทย ไม่ขอนำเงินใส่กระเป๋าใช้ส่วนตัวแม้แต่บาทเดียว” ผมมีมากพอแล้ว ลูกหลานก็มีให้หมดแล้ว ผมเคยทำอะไรไว้ตอนนี้เป็น “องคุลีมาล” กลับใจขอทำงานคืนให้สังคมตอบแทนโดยไม่หวังผลใดๆตามที่เคยบอกไว้กับสังคมสาธารณชน สิ่งที่ทำไปต้องการให้ประชาชนได้เรียนรู้ เข้าใจถึงการต่อสู้ครั้งนี้ เป็นตัวอย่างให้ได้จดจำว่าไม่ใช่แค่แฉเปิดโปงเท่านั้น แต่การจะทำให้ภาครัฐหันมาเอาใจใส่แก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง ต้องใช้แรงกดดันของสังคม

...

ข้อความที่นายชูวิทย์โพสต์ไว้ระบุต่อว่า ขอบคุณทุกท่านที่ให้กำลังใจ แต่ผมถือว่าหน้าที่นี้เป็นของพลเมืองทุกคนที่ต้องช่วยกัน ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง เพราะยาเสพติดเป็นปัญหาใหญ่ และกระบวนการเกี่ยวพันไปถึงแหล่งผลิตที่อยู่นอกประเทศไทย เราไม่มีทางหยุดได้ ยกเว้นจะจัดการที่ “ต้นตอ” นายตู้ห่าวและเครือข่ายเป็นคนต่างชาติที่อาศัยผืนแผ่นดินไทยทำมาหากิน จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องจัดการตามกฎหมายไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง ขั้นตอนสอบสวนของตำรวจและอัยการจบสิ้นลง จากนี้อัยการสูงสุดจะเป็นผู้ลงนามสั่งฟ้องตามกระบวน การศาลยุติธรรมต่อไป หวังว่าประชาชนจะประสบชัยชนะร่วมกัน อย่างน้อยมันเป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นว่า “คนทำผิดร้อยครั้งแม้หลุดรอดไปได้ทุกครั้ง แต่เมื่อพลาดเพียงครั้งเดียว เราสามารถล้มกระดานได้ทั้งหมด”

มีรายงานด้วยว่า ก่อนหน้าเมื่อเวลา 22.00 น. วันที่ 13 ม.ค.ที่ผ่านมา นายชูวิทย์โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวภาพและข้อความว่า ขบวนการเขมือบไทย ทุนจีนจาก “สีหนุวิลล์” วันนี้ “ตู้ห่าว” จะถึงจุดจบหรือไม่ กว่าจะรู้ผล สำนวน 67 แฟ้ม 26,892 แผ่น พยาน 444 ปาก คาดว่าอีก 2 ปี ศาลชั้นต้นถึงจะตัดสิน และกว่าการต่อสู้ทางกฎหมายจะถึงศาลฎีกา คงใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 7 ปี เนื่องด้วยพยานหลักฐานมากมาย และแทคติกการถ่วงเวลาให้พยานกลับคำ หลงลืม ขอให้การใหม่ประชาชนต้องรอจนกว่าศาลฎีกาจะตัดสินว่าใครชนะ

โพสต์นายชูวิทย์ระบุอีกว่า ข้อมูล “จีนเทา” ยังไม่หมดนายเหมา หยาเซียง (ตามรูป) คือตัวการสำคัญที่ขณะนี้ถูกจับกุมตัวขังอยู่ที่ ตม. นายเหมาเป็นระดับหัวหน้า 1 ใน 6 เป็นผู้จัดการ “หยง หยวน กรุ๊ป” ที่ครอบคลุมกิจการคาสิโนคอลเซ็นเตอร์กว่า 70% ที่สีหนุวิลล์ นายทุนใหญ่คือคนจีน อายุ 75 ปี ชื่อ “หยง” เป็นเจ้าของกิจการต่างๆของนายตู้ห่าวได้รับเงินทุนมาจากนายหยง เข้ามาทางนายเหมา ทำให้ได้ก่อร่างสร้างตัว ทั้งบ่อนการพนัน 4 แห่ง ในย่านยานนาวา (จินหลิง), ราษฎร์บูรณะ, เทพารักษ์ ซอยหมู่บ้านภัทรนิเวศน์ หลังโรงแรมเดอะ เอ็ม แกรนด์, ร้านอาหารแยกอรุณอมรินทร์ ปิ่นเกล้า และยังวางแผนจะทำพนันออนไลน์ ที่ขณะนี้ตกอยู่ในมือของกลุ่มคนไทยที่ใหญ่สุดเป็นตำรวจ ชื่อเล่นย่อ “ซ” คนรู้จักกันทั้งเมือง ลำดับสอง นาย “ทท” และลำดับสาม “ล” ลูกนายบ่อนแถวปิ่นเกล้า ที่ขณะนี้เส้นเงินพันไปถึงผับใหญ่ย่านทองหล่อ และไปถึงเจ้าใหญ่ลอตเตอรี่

โพสต์ชูวิทย์แฉต่ออีกว่า ที่ผมเล่าให้ฟังข้อมูล เพื่อให้ทราบว่าเงินทุนนายตู้ห่าวมาจากกัมพูชา “สีหนุวิลล์” เป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติและการพนันออนไลน์ในเร็วๆนี้ จะถูก “จีนเทา” เข้ามาครอบครองตลาดด้วยเทคโนโลยีและเงินทุนที่แข็งแกร่งกว่า รวมถึงแอปเงินกู้จีน ไลฟ์สดชวนพนัน ที่ล้วนมีคนจีนอยู่เบื้องหลัง หากในเร็ววันนี้ไม่จัดการถอนรากถอนโคน จีนเทาจะกลับมาใหม่ใหญ่กว่านายตู้ห่าวแน่นอน

วันเดียวกัน ที่อาคารบ้านพักส่วนกลาง ตร. (เฉลิมลาภ) พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. กล่าวถึงการส่งสำนวนคดีนายตู้ห่าวให้กับอัยการสูงสุดว่า มั่นใจว่าสามารถดำเนินคดีเอาผิดกับนายตู้ห่าว หลังสรุปสำนวนและส่งให้กับอัยการสูงสุด เพื่อพิจารณาตามขั้นตอนของกฎหมาย โดยเมื่อวันที่ 13 ม.ค. นำคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนคดีนายตู้ห่าว หอบเอาสำนวนการสอบสวน 67 แฟ้ม ที่มีเอกสารกว่า 26,000 แผ่น ไปส่งมอบให้กับอัยการสูงสุด เพื่อพิจารณาสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้งหมด 43 ราย คดีนี้คณะทำงานสอบสวนพยานไป 444 ปาก ยึดทรัพย์สินที่คาดว่าเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดของผู้ต้องหารวมมูลค่ากว่า 5,345 ล้านบาท ผู้ต้องหาทั้ง 43 ราย เป็นบุคคลธรรมดา 38 คน จับกุมได้ 20 คน หลบหนี 18 คน ที่เหลืออีก 5 ราย ที่เป็นนิติบุคคลบริษัทเอกชน แจ้งข้อหาดำเนินคดีทั้งหมดแล้ว ในจำนวนผู้ต้องหาทั้งหมดจะมีอยู่ 2 คน ที่มีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง เนื่องจากจะกันตัวไว้เป็นพยาน ค่อนข้างมั่นใจว่าพยานหลักฐานที่รวบรวมได้เพียงพอต่อการเอาผิดผู้ต้องหาทุกราย

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์กล่าวต่อว่า รู้สึกเบาใจ ที่ผ่านมาตำรวจได้รวบรวมพยานหลักฐานอย่างรอบคอบ เพื่อเอาผิดผู้ต้องหาในทุกข้อกล่าวหา พยานหลักฐานที่พบมีความเกี่ยวพันกัน แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ เนื่องจากผู้ต้องหาเองก็เตรียมพร้อมที่จะสู้คดี เชื่อว่าภายในวันที่ 20 ม.ค. อัยการสูงสุดจะส่งสำนวนให้กับศาลเพื่อพิจารณาตามขั้นตอน ส่วนกรณีที่ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ออกมาขอโทษ หลังจากที่ผ่านมามีการตำหนิและไม่มั่นใจการทำงานของเจ้าหน้าที่ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์กล่าวว่า ส่วนตัวไม่ได้ติดใจ เชื่อว่านายชูวิทย์หวังดีอยากให้คดีสำเร็จ แต่อาจจะได้ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนจนเห็นว่าสำนวนอาจจะอ่อน แต่ตนในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวน อยากให้สำนวนออกมาสมบูรณ์ที่สุด อาจจะเห็นว่าการทำงานล่าช้า แต่ตอนนี้มั่นใจว่าสำนวนทั้งหมดสมบูรณ์แล้ว

...