ชาวบ้าน ประมงพื้นบ้าน ต.ปากน้ำ ขอสภาทนายฯ ช่วยทางกฎหมายเรียกค่าเสียหายจากเอกชน กรณีได้รับผลกระทบจาก เหตุน้ำมันรั่วระยองเมื่อปี 65 ทำให้ขาดรายได้ กระทบระบบนิเวศในทะเล สัตว์ทะเลหายจากพื้นที่

เมื่อวันที่ 5 ม.ค. 2566 ที่สภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ นายละม่อม บุญยง อายุ 71 ปี ชาว ต.ปากน้ำ อ.เมือง จ.ระยอง พร้อมตัวแทนผู้ประกอบอาชีพประมงพื้นบ้านและอาชีพต่อเนื่องการประมง จังหวัดระยอง 33 คน เดินทางมาขอความช่วยเหลือทางกฎหมายกับ ดร.วิเชียร ชุปไธสง นายกสภาทนาย กรณีเกิดเหตุน้ำมันดิบใต้ทะเล บริเวณ หุ่นผูกเรือน้ำลึกหรือจุดขนถ่ายน้ำมันในทะเลของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง รั่วไหลบริเวณอ่าวระยอง ใกล้นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง ทำให้ผู้ประกอบอาชีพประมงพื้นบ้านและอาชีพต่อเนื่องกับห่วงโซ่อุปทานการประมงในอ่าวจังหวัดระยอง เช่น ขายสินค้าอาหารทะเลได้รับผลกระทบเกี่ยวกับระบบนิเวศและรายได้จากการประกอบอาชีพ

ทั้งนี้ ดร.วิเชียร ซุปไธสง นายกสภาทนายความ นายสมพร ดำพริก อุปนายกฝ่ายช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย นายสัญญาภัชระ สามารถ อุปนายกฝ่ายปฏิบัติการ สภาทนายความ และว่าที่ร้อยตรีสมชาย อามีน ประธานอนุกรรมการ สิ่งแวดล้อมฝ่ายคดีและปฏิบัติการ สภาทนายความ นางจุไรรัศมี ศรีเพ็ญ กรรมการสิ่งแวดล้อม สอบข้อเท็จจริงจากชาวบ้าน

ว่าที่ร้อยตรีสมชาย กล่าวว่า เหตุการณ์กรณี บริษัทแห่งหนึ่ง ทำน้ำมันดิบ จากเรือขนส่งน้ำมันลงท่อซีเมนต์ รั่วไหลลงอ่าวระยอง ระหว่างขนถ่ายกลางทะเล เมื่อวันที่ 25 ม.ค. 2565 ที่ผ่านมา มากกว่า 4 แสนลิตรกับ 4 ก.พ. 65 อีก 5 พันลิตร ส่งผลกระทบมีน้ำมันดิบกระจายเป็นวงกว้าง ถูกพัดเข้าชายฝั่ง จากข้อมูลของ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA ระบุว่า ปริมาตรน้ำมันดิบแพร่ในทะเลเทียบได้กว้างกว่า 9 เท่า ของเกาะเสม็ด ทำให้ชาวบ้าน ชาวประมงได้ผลกระทบ ต่อทรัพยากรสัตว์น้ำบริเวณชายฝั่งที่ชาวประมงพื้นบ้านใช้เป็นที่ทำมาหากิน

...

ประธานอนุ กก.สิ่งแวดล้อมฯ กล่าวต่อว่า ผลของน้ำมันดิบรั่วไหลและการใช้ สารเคมีกำจัดคราบน้ำมันในพื้นที่ ทะเลตื้นทำให้สัตว์น้ำหลายประเภทหายไปจากบริเวณอ่าวระยอง ซึ่งปัจจุบันเรือประมง หลายประเภทต้องจอดนิ่งอยู่ท่าเรือ เนื่องจากเรือออกไปไม่มีสัตว์น้ำให้จับ ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก อีกทั้งความขาดแคลนนี้ยังส่งผลกระทบเชิงลบต่อเนื่องไปถึงห่วงโซ่ นอกจากนี้การประมงพื้นบ้านและเรือขนาดกลางที่หากิน ได้จากจุดที่น้ำมันดิบรั่วไหล ยังสร้างความหวาดระแวงต่อประชาชนในพื้นที่และนักท่องเที่ยวที่จะตัดสินใจซื้ออาหารทะเล ทั้งที่เป็นวัตถุดิบและปรุงสำเร็จในจังหวัดระยอง

ว่าที่ร้อยตรีสมชาย กล่าวอีกว่า กลุ่มผู้ได้รับผลกระทบจากการรั่วไหลของน้ำมันดิบในครั้งนี้ ที่มาจากพื้นที่ปากน้ำระยองและเครือข่าย ต้องการที่จะยื่นฟ้องต่อศาลยุติธรรม เพื่อการเจรจาหาข้อยุติร่วมกันระหว่างบริษัทก่อมลพิษ กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบเพื่อให้ได้รับค่าเยียวยาที่เป็นธรรม เป็นการเรียกค่าชดเชยตามความเป็นจริงจากการสูญรายได้ที่ควรจะได้ โดยจากการได้รับความเสียหายในครั้งนี้กับทางบริษัทผู้ก่อเหตุยังมีการเยียวยาชดเชยให้ในจำนวนน้อย และระบุจะชดเชยจำกัดแค่เรือประมงที่จดทะเบียนไว้เท่านั้น จึงไม่เป็นเป็นธรรมกับผู้ทำประมงพื้นบ้าน ผู้ได้รับผลกระทบอื่น เกรงว่าจะมีการดึงเรื่องการชดเชยเยียวยาจนหมดอายุความในการเรียกร้องค่าเสียหาย

อย่างไรก็ตามมีประเด็นที่น่าสนใจซึ่งเป็นข้อเสนอของชาวบ้านในพื้นที่ ว่าเมื่อการขนส่งขนถ่ายน้ำมันดิบทางทะเลเกิดการรั่วบ่อยครั้ง เหตุใดทางนิคมอุตสาหกรรม และ กรมเจ้าท่าเป็นผู้ออกใบอนุญาตให้บริษัท ไม่หารือเปลี่ยนวิธีการขนส่งน้ำมันเป็นทางบกแทน กำลังพิจารณาว่าจะดำเนินการทางปกครองกับกรมเจ้าท่าหรือไม่

นายกสภาทนายฯ กล่าวว่า กรณีนี้ส่งผลกระทบกับประชาชนเป็นจำนวนมาก แบ่งกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบและต้องการเยียวยาเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มประมงพื้นบ้าน จำนวนเรียกว่า 150 ล่า, กลุ่มพ่อค้า แม่ค้า ที่ขาดทุนจากการค้าขายสัตว์น้ำที่ซื้อต่อจากเรือประมงและขายไม่ออก จำนวนกว่า 50 คน และกลุ่มลูกจ้างเรือประมง จํานวนกว่า 50 คน จากนี้ทางสภาทนายจะมีการตั้งทีมลงพื้นที่ตรวจสอบผลกระทบ รวมไปถึงผลกระทบด้านสุขภาพอีกด้วย ว่าการรั่วน้ำมันดิบส่งผลระยะสั้น ระยะยาวต่อสุขภาพของประชาชนในพื้นที่อย่างไรหรือไม่

เบื้องต้นสภาทนายความได้กำหนดแนวทางในการช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมายไว้ ดังนี้ 1. ใช้สิทธิในการเรียกร้องให้บริษัทที่เกี่ยวข้อง ชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นได้ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.2535 มาตรา 96 และ 97 (อายุความ 10 ปี)

2. ดำเนินการให้ประชาชนผู้เสียหายตั้งตัวแทนสมาชิกกลุ่มเป็นโจทก์ยื่นฟ้องคดีต่อศาลเพื่อดำเนินคดีแบบกลุ่ม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เนื่องจากจะไม่เป็นการซ้ำซ้อนในการยื่นฟ้องคดีและเป็นการลดค่าใช้จ่ายของประชาชนในการดำเนินคดีที่ศาล

3. ดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในทางคดี (การไกล่เกลี่ยในคดีสิ่งแวดล้อม) ตามพระราชบัญญัติการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พ.ศ. 2562

...

4. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ความรับผิดเพื่อละเมิด (มาตรา 420) ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขา เสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดีท่านว่าผู้นั้นทำละเมิด จ่าต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น ค่าสินไหมทดแทนเพื่อละเมิด (มาตรา 438) ค่าสินไหมทดแทนจะพึงใช้โดยสถานใดเพียงใดนั้น ให้ศาลวินิจฉัย ตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด อนึ่ง ค่าสินไหมทดแทนนั้น ได้แก่การคืนทรัพย์สินผู้เสียหายต้องเสียไปเพราะละเมิด หรือใช้ราคาทรัพย์สินนั้น รวมทั้งค่าเสียหายอันจะพึงบังคับให้ใช้เพื่อความเสียหายอย่างใดๆ อันได้ก่อขึ้นนั้นด้วย

5. แนวทางในการให้ความช่วยเหลืออื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 มาตรา 96 ระบุว่า แหล่งกำเนิดมลพิษใดก่อให้เกิดหรือเป็นแหล่งกำเนิดของการรั่วไหลหรือแพร่กระจายของมลพิษอัน เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่ชีวิต ไม่ว่าจะปรากฏอาการในขณะนี้หรือสะสมในร่างกาย อนาคตอาจจะปรากฏอาการ ร่างกายหรือสุขภาพอนามัย หรือเป็นเหตุให้ทรัพย์สินของผู้อื่นหรือของรัฐเสียหาย ด้วยประการใดๆ เจ้าของหรือผู้ครอบครองแหล่งกำเนิดมลพิษนั้น มีหน้าที่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือ ค่าเสียหายเพื่อการนั้น ไม่ว่าการรั่วไหลหรือแพร่กระจายของมลพิษนั้น จะเกิดจากการกระทําโดยจงใจหรือประมาท เลินเล่อของเจ้าของหรือผู้ครอบครองแหล่งกำเนิดมลพิษหรือไม่ก็ตาม

และจะค่าสินไหมทดแทนหรือค่าเสียหาย ซึ่งเจ้าหน้าที่หรือผู้ครอบครองแหล่งกำเนิดมลพิษมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบตาม วรรคหนึ่ง หมายความรวมถึงค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่ทางราชการต้องรับภาระจ่ายจริงในการขจัดมลพิษที่เกิดขึ้นนั้นด้วย โดยคดีจะมีอายุความ 10 ปี

...

มาตรา 97 ผู้ใดกระทำหรือละเว้นการกระทำด้วยประการใดโดยมิชอบด้วยกฎหมายอันเป็นการทำลายหรือทำให้ สูญหายหรือเสียหายแก่ทรัพยากรธรรมชาติซึ่งเป็นของรัฐ หรือเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่รัฐตามมูลค่าทั้งหมดของทรัพยากรธรรมชาติที่ถูกทำลาย สูญหาย หรือเสียหายไป

ส่วน นายละม่อม ตัวแทนชาวบ้าน กล่าวว่า กรณีแบบนี้เคยเกิดเหตุมาก่อนเมื่อปี 2556 และเกิดซ้ำในปี 2565 แต่ทางบริษัทเอกชนคู่กรณีก็ยังไม่ได้ใช้ค่าสินไหม และฝ่ายรัฐยังไม่ดำเนินการจริงจัง ในวิธีป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำซ้อนอีก เช่นใช้สารเคมีแบบเดิมๆ ที่ไม่ได้ผลที่ผ่านมาบริษัท เขาพยายามเสนอค่าสินไหมแต่ก็น้อยมาก และส่งมาแต่เจ้าหน้าที่เล็กๆ ไม่ให้เจ้าของผู้บริหารมาเป็นผู้เจรจา คุยกันไม่ได้ข้อสรุป แต่ส่วนตัวยืนยันว่ายังไม่เคยเซ็นเอกสารยอมรับเงื่อนไขใดๆ จากบริษัท.