นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. เปิดเผยว่า หลังจากข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการให้เงินรางวัลประจำปีแก่ข้าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) และลูกจ้างกรุงเทพมหานคร พ.ศ.2565 มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 21 ก.ย.ที่ผ่านมา ในการจัดสรรเงินรางวัลปีนี้ จึงได้ลงนามเห็นชอบแนวทางการจ่ายเงินรางวัล หรือโบนัสประจำปี 2565 แก่ข้าราชการและบุคลากรของ กทม. ที่ปัจจุบันมีอยู่ 90,000 คน ตามที่สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการกรุงเทพมหานคร (กก.) เสนอ เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่และเป็นขวัญกำลังใจให้กับบุคลากรของ กทม.

ทั้งนี้ คณะกรรมการจัดสรรเงินรางวัลประจำปี ให้จัดกลุ่มข้าราชการกรุงเทพมหานคร และลูกจ้างกรุงเทพมหานคร เป็น 4 กลุ่ม โดยได้เห็นชอบอัตราการจัดสรรเงินรางวัลประจำปี 2565 ดังนี้

1.กลุ่มที่ 1 ข้าราชการกรุงเทพมหานครสามัญ 5 ประเภท คือ ประเภทบริหาร ระดับต้น และระดับสูง ประเภทอำนวยการ ระดับต้น และระดับสูง ประเภทวิชาการระดับเชี่ยวชาญและระดับทรงคุณวุฒิ ประเภททั่วไป ระดับทักษะพิเศษ, ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษากรุงเทพมหานคร วิทยฐานะเชี่ยวชาญและวิทยฐานะเชี่ยวชาญพิเศษ ได้รับค่าน้ำหนักการจ่ายเงินรางวัล 0.35 เท่าของอัตราเงินเดือนที่ได้รับ

2.กลุ่มที่ 2 ข้าราชการกรุงเทพมหานครสามัญ 3 ประเภท คือ ประเภทวิชาการ ระดับชำนาญการพิเศษ ประเภททั่วไป ระดับอาวุโส ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษากรุงเทพมหานคร วิทยฐานะชำนาญการพิเศษ ได้รับค่าน้ำหนักการจ่ายเงินรางวัล 0.75 เท่าของอัตราเงินเดือนที่ได้รับ 3.กลุ่มที่ 3 ข้าราชการกรุงเทพมหานครสามัญ ประเภทวิชาการ ระดับปฏิบัติการและระดับชำนาญการ ประเภททั่วไป ระดับปฏิบัติงานและระดับชำนาญงาน ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษากรุงเทพมหานคร วิทยฐานะชำนาญการ ครูและครูผู้ช่วย ได้รับค่าน้ำหนักการจ่ายเงินรางวัล 1.2 เท่าของอัตราเงินเดือนที่ได้รับ และ 4.กลุ่มที่ 4 ลูกจ้างกรุงเทพมหานครทุกประเภท ได้รับค่าน้ำหนักการจ่ายเงินรางวัล 1.4 เท่าของอัตราค่าจ้างที่ได้รับ

...

นายชัชชาติกล่าวต่อว่า การจัดสรรเงินรางวัลประจำปี 65 จะใช้เงินกันเหลื่อมเพื่อจ่ายโบนัสประจำปี ซึ่งเป็นเงินเหลือจากงบประมาณประจำปี 2565 จำนวน 2,200 ล้านบาท โดยคาดว่าจะสามารถเบิกจ่ายเงินโบนัสให้ข้าราชการบุคลากรและลูกจ้างของ กทม.ภายในสิ้นปีนี้ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่านอกเหนือจากการสร้างขวัญและกำลังใจแล้ว ยังเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจให้แก่ กทม.ด้วย เชื่อว่าเงินที่แจกไปก่อนสิ้นปีคงใช้หมด เพราะสถานการณ์แบบนี้คนคงต้องการจับจ่ายใช้สอย เชื่อว่าจะไปกระตุ้นเศรษฐกิจ ให้เกิดเงินหมุนเวียนในกรุงเทพฯเพิ่มขึ้นด้วย.