อว.ชูสร้างฉากทัศน์ใหม่ พลิกโฉมประเทศไทยด้วยการพัฒนากำลังคนสมรรถนะสูง สร้าง Innovation Ecosystem ส่งเสริมด้วย Innovation Sandbox ในงานมหกรรมวิจัยแห่งชาติ 2565
ที่โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัลเวิลด์ ศ.ดร.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นประธานในการเปิดเวทีเสวนาในงานมหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2565 เรื่อง "พลิกโฉมประเทศไทยด้วยกำลังคนสมรรถนะสูงและเส้นทางอาชีพนักวิจัย" และปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ ความท้าทายใหม่ของ อววน. เพื่อการพัฒนานักวิจัยของประเทศ
ศ.ดร.นพ.สิริฤกษ์ กล่าวว่า การพัฒนากำลังคนด้านการวิจัยประเทศ เป็นเรื่องที่มีความสำคัญและการลงทุนในเรื่องนี้จะเป็นสิ่งบ่งชี้ว่าประเทศใดจะพัฒนามากน้อยเพียงใด ซึ่งขณะนี้ประเทศไทยได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากจากเมื่อ 10 ปีก่อน ที่ไทยลงทุนด้านวิจัยเพียง 0.25% ต่อจีดีพี ขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วลงทุนถึง 4% และบางประเทศอาจสูงถึง 12 % แต่เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยลงทุนงบวิจัยเพิ่มเป็น 1-1.1% และ ล่าสุดเพิ่มเป็น 1.3% ซึ่งถือว่ามาไกลมาก แต่ต้องทำให้ถึงเป้าหมาย 2% และถ้าได้ถึง 4% ก็ยิ่งดี
ปลัดกระทรวง อว. กล่าวต่อว่า การสร้างกำลังคนที่มีสมรรถนะสูงซึ่งเป็นคำที่ใช้กับนักวิจัย และนักวิชาการของประเทศ ถือว่ามีความสำคัญมาก ขณะนี้ประเทศไทยมีนักวิจัยทั้งสิ้น 169,000 คน คิดเป็น 17 คน ต่อประชากร 10,000 คน มากกว่าเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ที่มีเพียง 12-15 คน ขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วจะอยู่ที่ 60-100 คน หน้าที่ของพวกเราในเวทีนี้จึงอยากให้โจทย์ได้ช่วยกันคิดว่า เราควรทำอะไรอย่างไรและมีทิศทางการพัฒนาคนสมรรถนะสูงอย่างไร ที่จะพลิกโฉมประเทศไทยให้หลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง สู่การเป็นประเทศพัฒนาแล้วตามที่ตั้งเป้าหมายไว้
...
ทั้งนี้ กระทรวง อว. ซึ่งตั้งมาเพียง 3 ปี ได้พยายามทำทุกวิถีทางในการสร้างอีโคซิสเต็มให้เกิดแรงจูงใจแก่เส้นทางวิชาชีพนักวิจัยให้ดีที่สุดโดยกระทรวงการอุดมศึกษฯ (อว.) ได้ขับเคลื่อนและหนุนเสริมกำลังคนวิชาการ กำลังคนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ให้ภาคการผลิตและภาคความต้องการใช้ประโยชน์จากกำลังคนสมรรถนะสูง สอดล้องและสมดุลกัน โดยมุ่งเน้นใน 3 ประเด็นหลัก 1. การผลิตกำลังคนคุณภาพสูงตามความต้องการของภาคอุตสาหกรรม 2. การเคลื่อนย้าย แลกเปลี่ยน เพื่อป้อนกำลังคนคุณภาพสูงเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมที่สอดคล้องกับการลงทุนด้านการวิจัยของประเทศ ซึ่งปัจจุบันได้มุ่งเน้น BCG และการลงทุนขนาดใหญ่ และ 3. การเติบโตในเส้นทางอาชีพนักวิจัย โดยปัจจุบันได้มีพระราชบัญญัติส่งเสริมการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. 2564 เพื่อให้นักวิจัยเป็นเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งนับเป็นแรงจูงใจ (Intensive) ที่สำคัญที่จะทำให้การวิจัยเติบโตและนำไปสู่การใช้ประโยชน์ได้ รวมทั้งการส่งเสริมให้นักวิจัยได้เติบโตในเส้นทางอาชีพ ได้ดำเนินการเพิ่มช่องทางการขอตำแหน่งทางวิชาการอีก 5 ช่องทาง
อย่างไรก็ตาม จากการคาดการณ์ของ สอวช. คาดการณ์ว่าในปี พ.ศ.2570 จีดีพีของประเทศไทยจะต้องเพิ่มอัตราส่วนการลงทุน ภาครัฐ : เอกชนเป็น 30:70 และเพิ่มบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนาเป็น 30 คนต่อประชากร 10,000 คน เพื่อให้ระบบวิจัยก้าวหน้าสามารถดำเนินการโดยการส่งเสริม Innovation Ecosystem และการขับเคลื่อน New growth engine ด้วยนวัตกรรม โดยประเทศไทยได้กำหนดไว้ในแผนยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี และ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 หมุดหมายแผนการพัฒนาบุคลากรวิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. 2565-2570
ปลัดกระทรวง อว. กล่าวว่า การพลิกโฉมประเทศไทยด้วยกำลังคนสมรรถนะสูงและเส้นทางอาชีพนักวิจัย มีการกำหนดยุทธศาสตร์โดยแบ่งออกเป็น ด้านอุตสาหกรรม เทคโนโลยี การบริการ การเกษตรและอาหาร โดยตั้งเป้าหมายสร้างนักเรียนมัธยมและอาชีวะ 1.9 ล้านคน เพิ่มเป็นนิสิต นักศึกษา และพัฒนาเป็นกำลังแรงงานในสถานประกอบการ 40 ล้านคน จึงมีการสร้างระบบนิเวศทางวิชาการ ที่ได้รับความร่วมมือจากมหาวิทยาลัย สถานประกอบการ และชุมชน เริ่มจากการคัดเลือกนักศึกษา การบ่มเพาะอาจารย์นักวิจัย และสนับสนุนบุคลากรจนได้ประสิทธิภาพสูงสุด ในการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาการทำงานร่วมกันกับภาคอุตสาหกรรมที่เน้นในเรื่องของทักษะและพัฒนากำลังคนเฉพาะด้านให้ตอบสนองกับนโยบายของภาครัฐ
...
หลังจากนั้นเป็นการเสวนา เรื่อง พลิกโฉมประเทศไทยด้วยกำลังคนสมรรถนะสูงและเส้นทางอาชีพนักวิจัย โดยมีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ประกอบด้วย ผศ.ดร.พูลศักดิ์ โกษียาภรณ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม รศ.ดร.สมหมาย ผิวสอาด ประธานที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ศ.ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ อดีตผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รศ.ดร.รัฐชาติ มงคลนาวิน อาจารย์ประจำภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมแลกเปลี่ยนทัศนะซึ่งทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่าการสร้างกำลังคนสมรรถนะสูงมีความสำคัญต่อการพลิกโฉมประเทศไทย ในการเข้าสู่โลกในศตวรรษที่ 21