"พรพรหม" ทีมชัชชาติ ปลุกแนวคิด "เริ่มจากตัวเอง" ใช้กรุงเทพฯ เป็นต้นแบบดูแลสิ่งแวดล้อม สร้างความตื่นตัวให้ประชาชน พร้อมกระตุ้นหน่วยงานรัฐ-เอกชน ลดปล่อย "ก๊าซเรือนกระจก"

เมื่อวันที่ 4 เม.ย.65 นายพรพรหม วิกิตเศรษฐ์ ทีมงานด้านสิ่งแวดล้อมของ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ว่าที่ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.ในนามอิสระและอดีตผู้ร่วมก่อตั้งองค์กร "New Dem" หรือ "กลุ่มคนรุ่นใหม่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.)" โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวระบุว่า จาก "แคมเปญหาเสียง" สู่ "ศาลาว่าการ กทม." การดูแลเรื่องสิ่งแวดล้อมภายใต้แนวความคิด "เริ่มจากตัวเอง" เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม 2565 ผมได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมผลักดันให้เกิดแนวคิด "การหาเสียงแบบรักเมือง ใส่ใจสิ่งแวดล้อม" ภายใต้การนำของ นายชัชชาติ ผู้สมัครเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. โดยขบวนรถหาเสียงรักเมือง 23 คัน ประกอบไปด้วย รถเมล์ไฟฟ้า 2 คัน รถตุ๊กไฟฟ้า 5 คัน มอเตอร์ไซต์ไฟฟ้า 7 คัน รถกระบะไฟฟ้า 1 คัน และรถยนต์ไฟฟ้าอื่นๆอีก 8 คัน ขับออกจากศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร 2 (ดินแดง) หลังจบการรับสมัคร และได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการอีกครั้งในวันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน บริเวณเขตยานนาวา-บางคอแหลม เพื่อกระตุ้นประชาชนและสังคมตระหนักรู้ถึงปัญหาทางสิ่งแวดล้อม ที่จะเกิดขึ้นภายในช่วงการ #เลือกตั้งผู้ว่าฯและสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร

นายพรพรหม ระบุต่อว่า "ในปัจจุบันปัญหาฝุ่น PM2.5 อาจจะเป็นปัญหาทางสิ่งแวดล้อมหลักที่ชาวกรุงเทพฯเผชิญหน้าอยู่ แต่ตลอดระยะเวลาที่ผมขับเคลื่อนประเด็นสิ่งแวดล้อม พบว่าแท้จริงแล้วปัญหาใหญ่ที่จะกระทบทุกมิติของชีวิตประชาชน คือ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ "ภาวะโลกรวน" จากการปล่อย "ก๊าซเรือนกระจก" จากเชื้อเพลิงฟอสซิล โดยปัญหาดังกล่าวชัดเจนมากขึ้นเมื่อ 2 วันที่ผ่านมา จากอากาศที่เย็นลงอย่างกะทันหันในช่วงเดือนเมษายน ซึ่งแม้ว่าหลายคนอาจจะดีใจ แต่เป็นที่สังเกตได้ว่าต้นตออาจจะมาจากปรากฏการณ์ "โพลาร์วอร์เท็กซ์" ที่เกี่ยวโยงกับภาวะ "โลกรวน" นอกจากนี้ยังมีผลกระทบในอีกหลายรูปแบบ เช่น น้ำท่วม ระดับน้ำทะเลหนุน และคลื่นความร้อน ซึ่งผู้ที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ กลุ่มผู้มีรายได้ตํ่าในกรุงเทพฯ กว่า 2 ล้านคน"

...

"จากปัญหาเบื้องต้น ทีมชัชชาติจึงได้เสนอแนวคิด "การหาเสียงแบบรักเมือง ใส่ใจสิ่งแวดล้อม" ลดปัญหามลพิษและปัญหาขยะ จากการหาเสียงครั้งนี้ทางทีมผลักดันให้เกิดรถหาเสียงไฟฟ้า (EV) เพื่อเป็นการจำกัด "ก๊าซเรือนกระจก" และ PM 2.5 รวมถึงการลดป้ายหาเสียงโดยป้ายไวนิลต้องสะดวกต่อการหมุนเวียน (Recycle) และแผ่นพับหาเสียงที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ (reuse) ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม" นายพรพรหม ระบุ

นายพรพรหม ระบุต่อว่า "ดังนั้นแนวทางการหาเสียงแบบรักเมืองนั้น เป็นมากกว่าเพียง "แคมเปญหาเสียง" ที่ตอบโจทย์กับยุคสมัยปัจจุบัน แต่เป็นส่วนสำคัญของหลักคิดการจัดการสิ่งแวดล้อมโดย "เริ่มจากตัวเอง" แน่นอนว่าบริบทของตัวเองนั้นมีหลายขนาด เช่น จากตัวบุคคล จากชุมชม จากบริษัท และอื่นๆ โดยแต่ละบริบทก็มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือฟุตปริ้นท์ที่แตกต่างกันไป ซึ่งในกรณีของนายชัชชาติก็จะต้องมีผลกระทบอยู่ไม่น้อย เนื่องจากจะต้องหาเสียงทั่วทั้ง 50 เขตของกรุงเทพฯ หากเพียงแค่ลองจินตนาการถึงมลพิษจากรถแห่ ป้ายและขยะจากใบปลิวแล้ว การจัดการเรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องที่มีความซับซ้อนและท้าทาย มีหลากหลายปัจจัยกว่าที่จะประสบความสำเร็จ เช่น การต่อต้านจากกลุ่มผู้เสียประโยชน์ หรือบางครั้งแม้จะมีนโยบายภาครัฐอยู่แล้ว แต่ถ้าการบังคับใช้ยังไม่ครบถ้วนก็ทำให้ปัญหายังคงอยู่ เป็นต้น ซึ่งเหตุนี้ทำให้หลักคิดการเริ่มจากตัวเองที่ควบคุมปัจจัยต่างๆ ได้เองนั้น ยิ่งมีบทบาทที่สำคัญ"

"ผมอยากเสนอหลักคิดที่สามารถและควรนำไปต่อยอด โดยผู้ว่าฯ คนใหม่ที่จะเข้าไปบริหาร กทม. ไม่ว่าจะเป็นนายชัชชาติ หรือท่านอื่นใด คือ "ตัวเอง" บริบทของ กทม.มีขนาดใหญ่และเป็นองค์กรที่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมสูง เนื่องจาก กทม.มีทรัพย์สินมากมายและต่างมีการใช้พลังงานสูง ตัวอย่างเช่น อาคารต่างๆ ในสังกัด อย่างเช่นศาลาว่าการทั้ง 2 แห่ง สำนักงานเขต 50 เขต โรงเรียนในสังกัด เกิน 400 แห่ง ศูนย์กีฬาและศูนย์เยาวชน รวมถึง ยานพาหนะ เช่น รถเก็บขยะ รถเทศกิจ รถของผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ หรือมลพิษจากกองขยะและน้ำเสียที่อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของ กทม. เป็นต้น โดยทั้งหมดที่กล่าวนี้ต่างเป็นทรัพย์สินของ กทม. ซึ่งผู้ว่าฯ มีอำนาจในการบริหารจัดการอย่างเบ็ดเสร็จ ไม่ต้องมีหน่วยงานอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง" นายพรพรหม ระบุ

นายพรพรหม ระบุอีกว่า "ผู้ว่าฯ ท่านใหม่จะกำหนดแนวทางที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จากทรัพย์สินของ กทม. ผ่านการสนับสนุนวิธีการจัดหาแหล่งพลังงานสะอาด พร้อมกับยกระดับอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพทางพลังงาน และนำเทคโนโลยีต่างๆ มาใช้ เช่น การส่งเสริมให้ติดตั้งระบบหลังคาโซลาร์เซลล์ในอาคารต่างๆ หรือหลังคาสีขาวสะท้อนแสง ที่ช่วยลดการดูดซับความร้อนเข้ามาในตัวอาคาร ส่วนสำหรับยานพาหนะคือการเปลี่ยนเป็นระบบไฟฟ้า (EV) หรือ hybrid ทั้งหมด และมีการติดตั้งที่ชาร์จ EV หรือจุดแลกแบตเตอรี่ ในพื้นที่ของ กทม.

"ถ้า กทม.เป็นตัวอย่างในการจัดการเรื่องก๊าซเรือนกระจกผ่านการ "เริ่มจากตัวเอง" ได้นั้นก็จะส่งผลให้เกิดประโยชน์ในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างแรงกระตุ้นให้กับหน่วยงานอื่นๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะหน่วยงานที่มีการผลิตฟุตปริ้นท์สูงๆ หรือการลดค่าใช้จ่ายให้กับ กทม.ในระยะยาว เช่น การผลิตไฟฟ้าเองจากหลังคาโซลาร์เซลล์ เป็นต้น นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างการตระหนักรู้และการตื่นตัวสาธารณะ รวมถึงเป็นต้นแบบแก่สังคมนานาชาติในการเป็นมหานครที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม" นายพรพรหม ระบุ

...