ผลสำรวจกรมอนามัย เผย ครูพร้อมสอนในโรงเรียนควบคู่ออนไลน์ ขณะผู้ปกครองส่วนใหญ่เห็นด้วยเด็กฉีดวัคซีนก่อนเปิดเทอม แพทย์ย้ำมาตรการต้องปฏิบัติ

วันที่ 7 ต.ค. 2564 นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า ภายหลังเมื่อวันที่ 4 ต.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันแรกที่เริ่มฉีดวัคซีนไฟเซอร์ (Pfizer) ให้กับนักเรียนอายุ 12-18 ปี เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเปิดภาคเรียนในเดือน พ.ย.นี้ พบว่ามีนักเรียนประสงค์ฉีดวัคซีน 3.6 ล้านคน คิดเป็น 71% จากทั้งหมดกว่า 5 ล้านคน โดยแผนการฉีดวัคซีนจะเริ่มให้กับนักเรียนในสถานศึกษาทั่วประเทศ จำนวน 2 ล้านโดส

ทั้งนี้ ข้อมูลจากการสำรวจประเด็น ความพร้อมของคนไทยกับการเปิดเรียนโรงเรียน ระหว่างวันที่ 26 - 30 ก.ย. 2564 พบว่า ผู้ปกครองเห็นด้วยต่อการฉีดวัคซีนให้เด็กอายุ 12-17 ปี เพื่อเตรียมความพร้อมต่อการเปิดเรียนร้อยละ 69 เนื่องจากอยากให้เด็กไปโรงเรียนและใช้ชีวิตปกติ และป้องกันเด็กที่มีโรคประจำตัว ส่วนผู้ปกครองที่ไม่เห็นด้วยให้เหตุผลว่า ยังขาดข้อมูลเรื่องประสิทธิภาพและความปลอดภัยของวัคซีนในเด็ก หรือกลัวว่าจะมีผลกระทบต่อสุขภาพเด็กในอนาคต รวมถึงเรื่องของการติดเชื้อในเด็กส่วนใหญ่ไม่มีอาการรุนแรง มีการเสียชีวิตค่อนข้างต่ำ

สำหรับความพร้อมต่อการเรียนการสอนในสถานศึกษาควบคู่กับการเรียนออนไลน์ในเดือน พ.ย. 2564 มีความพร้อมต่อการเปิดเรียน ร้อยละ 88 สำหรับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในสถานศึกษา พบว่าเห็นด้วยกับมาตรการการแสดงข้อมูลผลการประเมินคัดกรองความเสี่ยง ทั้งผู้เรียน ผู้สอน และบุคลากร ร้อยละ 87 มาตรการจำกัดจำนวนผู้เรียนห้องละไม่เกิน 25 คน ร้อยละ 85 และมาตรการการจัดการเรียนการสอนทั้งแบบออนไลน์และภายในสถานศึกษาควบคู่กันทุกวิชา ร้อยละ 82 ตามลำดับ

...

ทั้งนี้ สถานศึกษาที่พร้อมเปิดการเรียนการสอน ขอให้ปฏิบัติตาม 6 มาตรการหลัก 6 มาตรการเสริม และ 7 มาตรการเข้มการชะลอการติดและแพร่เชื้อของโควิด-19 ดังนี้

1. ประเมินความพร้อมเปิดเรียนผ่าน Thai Stop COVID 2 Plus และรายงานการติดตามประเมินผลผ่าน MOECOVID โดยถือปฏิบัติเข้มข้นต่อเนื่อง

2. จัดกิจกรรมร่วมกันในรูปแบบ Small Bubble หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมข้ามกลุ่มกัน

3. จัดระบบการให้บริการอาหารสำหรับนักเรียน ครู และบุคลากรในสถานศึกษา ตามหลักมาตรฐานสุขาภิบาลอาหารและหลักโภชนาการ

4. จัดการด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมให้ได้ตามแนวปฏิบัติด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมในการป้องกันโรคโควิด-19 ในสถานศึกษา ได้แก่ การระบายอากาศภายในอาคาร การทำความสะอาด คุณภาพน้ำอุปโภคบริโภค และการจัดการขยะ

5. จัดทำ School Isolation แผนเผชิญเหตุและซักซ้อมเป็นระยะๆในกรณีที่โรงเรียนมีการเปิดเรียนแล้วพบการติดเชื้อภายในโรงเรียนต้องปฏิบัติตามแผนเผชิญเหตุของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด

6. ควบคุมการเดินทางเข้าและออกจากโรงเรียนอย่างเข้มข้น

7. จัดให้ School pass หรือระบบติดตามเข้มงวดของนักเรียน ครูและบุคลากร ทั้งผลการเฝ้าระวังตนเองผ่าน Thai save Thai สม่ำเสมอ ตรวจคัดกรองและสุ่มตรวจโดยใช้วิธี Rapid Antigen Test รวมถึงประวัติการได้รับวัคซีน ตามเกณฑ์และบริบทของพื้นที่ ซึ่งคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อจังหวัดประกาศ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยเมื่อเข้า-ออกโรงเรียน