นายชาตรี วัฒนเขจร รองปลัด กทม. กล่าวถึงแนวทางการบริหารจัดการขยะของ กทม.ว่า ในปี 2565 มีแนวทางลดการฝังกลบลงจาก 80% เหลือ 30% เนื่องจากปัจจุบันพื้นที่ฝังกลบหายาก โดย กทม.มีแผนกำจัดขยะโดยใช้เทคโนโลยีเตาเผาผลิตไฟฟ้า ซึ่งได้เริ่มนำร่องที่ศูนย์กำจัดมูลฝอยหนองแขมและพบว่ามีประสิทธิภาพ สามารถกำจัดขยะได้ประมาณ 500 ตันต่อวัน ผลิตไฟฟ้าได้ 10 เมกะวัตต์ ต่อมา กทม. ได้ขยายโครงการนำขยะผลิตไฟฟ้า ณ ศูนย์กำจัดมูลฝอยอ่อนนุช และส่วนที่เหลือของศูนย์กำจัดมูลฝอยหนองแขมเป็นเตาเผามูลฝอย ขนาดไม่เกิน 1,000 ตัน/วัน กำลังผลิตไฟฟ้า 30 เมกะวัตต์/แห่ง ซึ่งตามแผนกำหนดแล้วเสร็จภายในปี 2565 นอกจากนี้ยังมีแผนทำโครงการลักษณะเดียวกัน ณ ศูนย์กำจัดขยะมูลฝอยสายไหม ขนาด 1,000 ตัน/วัน เป็นโครงการต่อไป
อย่างไรก็ตาม แม้โครงการจะเกิดประโยชน์อย่างมาก แต่ยังไม่สามารถเดินหน้าได้ เนื่องจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ยังไม่ออกระเบียบรับซื้อไฟฟ้าและประกาศรับซื้อไฟฟ้ามารองรับ โดยเฉพาะอัตรารับซื้อไฟฟ้าจากขยะของ 2 โครงการ ทำให้ภาคเอกชนที่ผ่านการประมูลโครงการ และลงนามสัญญากับ กทม.เมื่อปี 2562 ไม่สามารถก่อสร้างได้จนถึงปัจจุบัน และหลายเรื่องที่ผ่านกระบวน การต่างๆก็กำลังจะหมดอายุลงในเดือนตุลาคมนี้ ทำให้ กทม.ต้องปรับแผนการจัดการขยะใหม่ทั้งหมด โดยต้องเลื่อนแนวทางลดสัดส่วนการฝังกลบให้เหลือ 30% ออกไปกว่า 3 ปี จนกว่าโครงการที่อ่อนนุชและหนองแขมจะเกิดขึ้นได้ และต้องจัดงบประมาณใหม่ในการจ้างเอกชนขนส่งและฝังกลบ ซึ่งเป็นงบประมาณที่เพิ่มขึ้นทุกปี ขณะเดียวกันแผนการนำขยะมาผลิตไฟฟ้าที่สายไหม ซึ่งเตรียมของบประมาณก็ถูกชะลอออกไปเช่นเดียวกัน ความล่าช้าที่เกิดขึ้นจนสร้างความเสียหายอย่างต่อเนื่อง กทม.ไม่ได้เพิกเฉย มีหนังสือสอบถามไปยัง กกพ. ขณะเดียวกันหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องก็ได้ประสานงานไปที่ กกพ.รวมหลายครั้ง.
...