“ลุงพล” โล่งศาลให้ประกันตัวในวงเงิน 1.8 แสนบาท วางเงื่อนไขคุมเข้ม 5 ข้อ หากฝ่าฝืนสั่งถอนประกันทันที ขณะที่บรรดายูทูบเบอร์และแฟนคลับที่รอให้กำลังใจเฮลั่นพร้อมมอบช่อดอกไม้แสดงความยินดี ขณะที่คำร้องขอฝากขังของพนักงานสอบสวนแฉยิบ พาน้องชมพู่ที่นั่งเล่นหน้าบ้านไปไว้ในป่าด้านทิศเหนือของหมู่บ้าน แล้วไปส่งพระ ก่อนย้อนไปรับน้องชมพู่พาไปซ่อนบนเขาภูเหล็กไฟจนตายแล้วเปลือยศพจัดฉากให้เข้าใจถูกประทุษร้ายทางเพศ แม่น้องชมพู่เผยน้อมรับการพิจารณาของศาล ด้านทนายตั้มขู่ดำเนินคดีตำรวจขออนุมัติหมายจับ และเซ็นชื่อในบันทึกจับกุม ส่วนลุงพลประกาศสู้ตามกระบวนการ พร้อมปฏิบัติตามเงื่อนไขศาล
จากคดีการเสียชีวิตปริศนาของ “น้องชมพู่” เด็กหญิงวัย 3 ขวบ หายตัวไปจากบ้านในหมู่บ้านกกกอก ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร ก่อนพบเป็นศพเปลือยในป่าบนภูเหล็กไฟเมื่อวันที่ 14 พ.ค.63 โดยตำรวจจับกุม “ลุงพล” หรือนายไชย์พล วิภา อายุ44ปี ขณะจะเข้าไปมอบตัวกับ ผบ.ตร. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อวันที่ 2 มิ.ย. แจ้งข้อหาพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากบิดามารดา โดยปราศจากเหตุอันควร ทอดทิ้งเด็กอายุไม่เกิน 9 ปี เพื่อให้เด็กนั้นพ้นไปเสียจากตน โดยประการที่ทำให้เด็กนั้นปราศจากผู้ดูแล เป็นเหตุให้เด็กถึงแก่ความตาย และกระทำการใดๆ แก่ศพหรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพ ก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น ในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพ หรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป ส่งดำเนินคดีที่ สภ.กกตูม โดยไม่ให้ประกันตัว ทำให้ลุงพลต้องนอนในห้องขังถึง 2 คืน
ความคืบหน้าเมื่อเวลา 06.45 น. วันที่ 4 มิ.ย. ที่ สภ.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร ตำรวจหน่วยปฏิบัติการพิเศษ หน่วยสวาท และชุด EOD ภ.จ.มุกดาหาร พร้อมรถตรวจการณ์ ภ.จ.มุกดาหาร มารอรับตัวลุงพล หรือนายไชย์พล วิภา ผู้ต้องหา ไปส่งฝากขังต่อศาลจังหวัดมุกดาหาร จากนั้นตำรวจ 4 นาย ควบคุมตัวลุงพลอยู่ในชุดเสื้อสีขาวน้ำเงิน กางเกงยีนส์ขายาว สวมรองเท้าผ้าใบ เดินลงบันไดมาจากชั้น 2 ท่ามกลางเสียงเชียร์ของบรรดาแฟนคลับตะโกนว่า “ลุงพลสู้ๆ ลุงพลสู้ๆ” ทำให้ลุงพลเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มพร้อมชู 2 นิ้ว ให้กับแฟนคลับ ก่อนเดินไปขึ้นรถตรวจการณ์ มุ่งหน้าสู่ศาลจังหวัดมุกดาหาร โดยมีรถปิกอัพตราโล่ปิดหัวท้าย
...
ขณะที่บรรยากาศบริเวณหน้าศาลจังหวัดมุกดาหาร มีกองทัพสื่อมวลชน ยูทูบเบอร์ และแฟนคลับลุงพลป้าแต๋นออริมทางเท้าหน้าศาล แต่ศาลไม่อนุญาตให้ผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าไปในพื้นที่ด้านในทั้งหมดได้แต่ปักหลักรออยู่นอกรั้วศาลจังหวัดมุกดาหารโดยที่บริเวณประตูทางเข้าศาล มีตำรวจนับ 10 นายยืนรักษาการณ์อยู่ และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขจังหวัดมุกดาหาร ที่มาตั้งจุดตรวจคัดกรองทั้งสองฝั่งประตูตามมาตรการป้องกันโควิด-19
ต่อมานางสาวิตรี วงศ์ศรีชา แม่น้องชมพู่พร้อมน้องสะดิ้ง พี่สาวน้องชมพู่ และพยาน 4 คน ประกอบด้วยเจ้ส้มโอ แม่ดอน พ่อแบม เจ้หมี เข้ารับการคัดกรองก่อนเข้าไปในศาล โดยนางสาวิตรีกล่าวว่าเมื่อเช้าไปที่โกศของน้องชมพู่ ที่วัดถ้ำภูผาแอกนำพวงมาลัยไปไหว้และจุดธูปขอกำลังใจจากน้องชมพู่ อธิษฐานขอให้การคัดค้านการประกันตัวลุงพลเป็นไปด้วยดี ขอให้ศาลเมตตาครอบครัว เพราะพฤติกรรมของลุงพลรุนแรง กลัวไม่ปลอดภัย พร้อมพูดเปรียบเปรยถึงการให้สัมภาษณ์ของทนายตั้มว่า “ผู้นำทัพย่อมปลุกใจทหาร”
ขณะที่ขบวนรถที่ควบคุมตัวลุงพลมาถึงศาลในเวลาต่อมา ส่วนนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม และนางสมพร หลาบโพธิ์ หรือป้าแต๋น ทยอยเดินทางมาถึงศาลในช่วงไล่เลี่ยกัน โดยทนายตั้มกล่าวว่าจะยื่นประกันตัวลุงพลทันที เตรียมหลักทรัพย์มูลค่า1.7 ล้านบาท ประกอบด้วยที่ดิน 2 แปลงของแฟนคลับลุงพล ราคา 1.2 ล้านบาท และเงินสดอีก 5 แสนบาท โดยให้เหตุผลต่อศาลว่าลุงพลไม่มีพฤติการณ์หลบหนี มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ไม่มีพฤติการณ์ข่มขู่ แต่หากศาลจะหยิบยกเรื่องที่แม่น้องชมพู่ที่ทำเรื่องคัดค้านการขอประกันตัว ก็พร้อมจะเบิกพยานขึ้นไต่สวนคือป้าแต๋น และยูทูบเบอร์ อย่างน้อย 3 ปาก หากศาลไม่ได้ประกันตัวก็จะเดินหน้ายื่นอุทธรณ์ต่อ ถ้าได้ปล่อยตัวชั่วคราวลุงพลยินดีที่จะใส่กำไลอีเอ็ม ขอความเมตตาต่อศาลให้อิสรภาพลุงพลมาต่อสู้ข้างนอก
จากนั้น พ.ต.ท.ธนกาญจน์ พระสุมาตย์สว. (สอบสวน) สภ.กกตูม ยื่นคำร้องขอฝากขังนายไชย์พล วิภา หรือลุงพลต่อศาลจังหวัดมุกดาหารว่า เมื่อวันที่ 2 มิ.ย. เวลา 16.33 น. พนักงานสอบสวนได้รับตัวผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลจังหวัดมุกดาหารที่ จ.53/2564 โดยกล่าวหาว่ากระทำความผิดฐาน “พรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากบิดามารดา โดยปราศจากเหตุอันควร, ทอดทิ้งเด็กอายุไม่เกิน 9 ปี เพื่อให้เด็กนั้นพ้นไปเสียจากตน โดยประการที่ทำให้เด็กนั้นปราศจากผู้ดูแล เป็นเหตุให้เด็กถึงแก่ความตาย และกระทำการใดๆแก่ศพหรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพ ก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น ในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพ หรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป”
พฤติการณ์กล่าวคือ เมื่อวันที่ 11 พ.ค.2563 ช่วงเวลา 09.00-09.48 น. ผู้ต้องหาได้พา “น้องชมพู่” อายุ 3 ปี 2 เดือน ซึ่งเป็นลูกสาวของนางสาวิตรี วงศ์ศรีชา มารดา และนายอนามัย วงศ์ศรีชา บิดา ไปขณะเล่นอยู่บริเวณหน้าบ้านเลขที่ 73 หมู่ 2 ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร ของตน ติดกับบ้านเลขที่ 77 หมู่ 2 ต.กกตูม โดยปราศจากเหตุอันควร จากนั้นได้นำน้องชมพู่ไปซุกซ่อน และทอดทิ้งไว้บริเวณป่าทางทิศเหนือของหมู่บ้านกกกอก ทางขึ้นเขาภูเหล็กไฟเพียงลำพัง โดยปราศจากผู้ดูแล แล้วไปทำธุระรับส่งพระ หลังเกิดเหตุชาวบ้านช่วยกันออกติดตามหาตัวน้องชมพู่แต่ไม่พบตัว
คำร้องระบุต่อว่า ภายหลังเมื่อผู้ต้องหาเสร็จธุระส่งพระ ย้อนกลับมานำตัวน้องชมพู่ซึ่งยังไม่เสียชีวิต และพยายามเดินทางกลับบ้าน ไปซุกซ่อนและปล่อยทอดทิ้งไว้บนเขาภูเหล็กไฟเพียงลำพังอีกครั้ง ให้พ้นไปเสียจากตนโดยปราศจากผู้ดูแล เป็นเหตุให้น้องชมพู่ ซึ่งไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ เพราะเป็นเด็กมีอายุเพียง 3 ปี 2 เดือน ไม่สามารถออกจากบริเวณเขาภูเหล็กไฟได้ จนกระทั่งหมดแรงและเสียชีวิตบนเขาภูเหล็กไฟในเวลาต่อมา จากนั้นผู้ต้องหาได้เข้าไปกระทำการแก่ศพของน้องชมพู่ และสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพ โดยถอดเสื้อผ้า จัดท่าทางของศพ เพื่อให้เข้าใจว่ามีการประทุษร้ายทางเพศต่อน้องชมพู่ และใช้ของแข็งมีคมตัด สับ ฟัน ไปที่เส้นผมของน้องชมพู่ เพื่อนำไปประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อทางไสยศาสตร์ อันเป็นการกระทำการแก่ศพ และสภาพแวดล้อมบริเวณที่พบศพ ก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น ในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพ หรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป
...
ต่อมาได้พบศพน้องชมพู่นอนเสียชีวิตอยู่บนเขาภูเหล็กไฟชั้นที่ 6 ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของหมู่บ้าน กกกอกไปประมาณ 1.3 กิโลเมตร ในวันที่ 14 พ.ค.2563 เวลาประมาณ 19.00 น. ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมตัวผู้ต้องหาตามหมายจับ นำส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี ในชั้นสอบสวนผู้ต้องหาให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา เหตุเกิดบริเวณหน้าบ้านเลขที่ 73 หมู่ 2 บ้านกกกอก ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร เมื่อวันที่ 11 พ.ค.2563 เวลา 09.11 น. ต่อเนื่องถึงบริเวณบนเขาภูเหล็กไฟชั้นที่ 6 อุทยานแห่งชาคิภูผายล อยู่ทางทิศเหนือของบ้านกกกอก หมู่ 2 ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร เมื่อวันที่ 14 พ.ค.2563 เวลาประมาณ 19.00 น. การกระทำของผู้ต้องหาเป็นความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 306, มาตรา 308 และมาตรา 317 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150 ทวิ มีอายุความดำเนินคดี 15 ปี
ทั้งนี้พนักงานสอบสวนได้รับตัวผู้ต้องหาไว้ดำเนินคดีเมื่อวันที่ 2 มิ.ย.2564 เวลา 16.33 น. และได้สอบสวนและควบคุมตัวผู้ต้องหามาโดยตลอดจะครบ 48 ชั่วโมง แต่การสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น เนื่องจากต้องทำการสอบสวนพยานเพิ่มเติมอีก 15 ปาก รอผลการตรวจลายพิมพ์นิ้วมือผู้ต้องหา จึงขออนุญาตฝากขังผู้ต้องหาระหว่างการสอบสวนมีกำหนด 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 4 มิ.ย.-15 มิ.ย.2564 พร้อมขอคัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหา เนื่องจากคดีมีอัตราโทษสูง หากปล่อยตัวไปเกรงผู้ต้องหาจะหลบหนีและไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือก่อเหตุร้ายประการอื่น
คดีนี้มีผู้คัดค้านการปล่อยตัวชั่วคราว โดยศาลได้ไต่สวนพยาน 3 ปากที่คัดค้านการประกันตัว และได้อ่านคำสั่งประกันเมื่อเวลา 15.00 น. โดยศาลได้พิเคราะห์คำร้องขอให้ปล่อยชั่วคราวระหว่างสอบสวน คำคัดค้านของพนักงานสอบสวน คำร้องขอคัดค้านการปล่อยตัวชั่วคราวของผู้เสียหายและพยานหลักฐานของผู้คัดค้านแล้ว เห็นควรอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาระหว่างสอบสวน ใช้เงินสด 180,000 บาท เป็นหลักประกัน พร้อมกำหนดเงื่อนไขห้ามผู้ต้องหาหลบหนี ข่มขู่พยาน ยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน ก่อเหตุอันตรายประการอื่น ห้ามผู้ต้องหาเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาล แจ้งสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และแต่งตั้งให้ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 1 บ้านกกกอก ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร เป็นผู้กำกับดูแลผู้ต้องหาเพื่อให้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ศาลกำหนด หากผู้ต้องหาผิดข้อกำหนดเงื่อนไขศาล จะพิจารณาสั่งเพิกถอนการปล่อยชั่วคราวหรือมีคำสั่งตามที่เห็นสมควร
...
หลังจากนั้นนางสาวิตรี วงศ์ศรีชา แม่น้องชมพู่ ลงจากศาลด้วยสีหน้าเรียบเฉย กล่าวเพียงสั้นๆ ว่าน้อมรับการพิจารณาของศาลทุกประการ เรื่องของคดีก็ว่ากันไปตามขั้นตอนก่อนขอตัวกลับ
ต่อมาลุงพล ป้าแต๋น พร้อมทนายษิทรา กับญาติๆ ออกจากศาลทางด้านประตูเข้าศาลที่มีผู้สื่อข่าว ยูทูบเบอร์ และแฟนคลับรออยู่เป็นจำนวนมาก ท่ามกลางเสียงปรบมือและเสียงเฮลั่น ลุงพลยกมือไหว้ขอบคุณ ขณะที่กลุ่มแฟนคลับกรูเข้าไปยื่นช่อดอกไม้ที่เตรียมไว้มอบให้ลุงพล ป้าแต๋น และทนายษิทราแสดงความยินดี
ทนายษิทรากล่าวว่า ขอบคุณศาลจังหวัดมุกดาหารที่ให้ความเป็นธรรมกับลุงพล ตั้งแต่เช้าที่เรามายื่นเรื่องขอประกันตัว ทราบว่าตำรวจและแม่ของน้องชมพู่มาคัดค้าน ทางฝ่ายผู้คัดค้านมีพยานมาด้วยกัน 3 ปาก คือแม่น้องชมพู่ พยานผู้ชายคนหนึ่ง และตำรวจ แม่น้องชมพู่ยอมรับว่าไม่ได้สงสัยลุงพลตั้งแต่แรก และที่มาร้องคัดค้าน เพราะเป็นคำแนะนำของตำรวจ ซึ่งไม่มีการข่มขู่กันมาก่อน ส่วนตำรวจตอนนี้เป็นประเด็นมาก อย่างแรกเมื่อวันที่ 2 มิ.ย. เราไปมอบตัวที่ สตช. และก่อนหน้าที่ลุงพลจะถูกออกหมายจับ ลุงพลไม่ได้มีพฤติการณ์หลบหนีมาก่อน แสดงว่าการที่พนักงานสอบสวนไปขอออกหมายจับโดยอ้างเหตุว่ายุ่งเหยิงกับพยาน และหลบหนีเป็นความเท็จ ตรงนี้จะได้ดำเนินการต่อไป เพราะการยื่นคำร้องต่อศาลในเรื่องที่ไม่เป็นความจริง ทำให้ศาลออกหมายจับได้ คราวหน้าที่มาคงต้องดำเนินคดีกับตำรวจทีมที่มาขออนุมัติหมายจับ และตำรวจที่เซ็นชื่อในบันทึกจับกุมที่กรุงเทพฯด้วย เพราะจับกุมเกินความจำเป็น
...
ส่วนลุงพลกล่าวว่า ต้องขอบคุณศาลที่ให้ความยุติธรรม ตั้งแต่วินาทีนี้จะสู้ทุกอย่างตามกระบวนการ ดีใจที่ได้ออกมาสู้คดี ตนพร้อมทำตามเงื่อนไขได้แน่นอน เพราะไม่มีพฤติกรรมหลบหนีแน่นอน ส่วนเรื่องข่มขู่ ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เนื่องจากที่ผ่านมายูทูบเบอร์ก็ตามถ่ายตนตลอดเวลา เว้นแต่เวลานอน ความรู้สึกที่ผ่านมามันก็เหมือนบทเพลงที่ตนร้อง สิ่งที่อยากจะบอกชมพู่ คือให้น้องไปอยู่ในภพที่ดีกว่า สิ่งแรกหลังจากนี้ ก็ตามธรรมเนียมต้องกลับไปผูกแขนตามผู้หลักผู้ใหญ่ ส่วนป้าแต๋นพูดสั้นๆว่าลูกรออยู่ที่บ้าน
ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีตามที่ปรากฏข่าวผ่านสื่อมวลชนว่า นายษิทรา เบี้ยบังเกิด ทนายความของนายไชย์พล วิภา หรือลุงพล เตรียมยื่นเรื่องถึงนายสิระ เจนจาคะ ประธานคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ให้ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดทำคดีนายไชย์พล และจะเรียก ผบ.ตร.ชี้แจงด้วย ว่า การจะไปร้องเรียนหน่วยงานใด ถือเป็นสิทธิของทนายความผู้ต้องหา และผู้ที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ ตราบใดที่เป็นการทำในกรอบของกฎหมาย และไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น ส่วนเรื่องคดีคงต้องให้เป็นไปตามขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรม สำหรับความคืบหน้าทางคดี ได้สอบถามทางพนักงานสอบสวน สภ.กกตูม ทราบว่าวันนี้ได้นำตัวนายไชย์พลไปฝากขังครั้งแรกที่ศาลจังหวัดมุกดาหาร ส่วนผู้ต้องหาจะได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวหรือไม่ ต้องขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล
ด้านนายเรืองศักดิ์ สุวารี อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กล่าวถึงการเยียวยาครอบครัวน้องชมพู่ว่า กรณีผู้เสียหายในคดีอาญา หากถูกผู้อื่นกระทำให้เสียชีวิตโดยที่ตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำความผิด ทายาทมีสิทธิได้รับการช่วยเหลือเยียวยาในฐานะที่ตกเป็นเหยื่อ ได้แก่ ค่าตอบแทนกรณีถึงแก่ความตาย จำนวน 50,000 บาท ค่าจัดการศพ จำนวน 20,000 บาท ค่าขาดอุปการะเลี้ยงดู 40,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งส้ิน 110,000 บาท ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของคณะอนุกรรมการฯ ประจำจังหวัดมุกดาหารเป็นสำคัญ
ต่อมาเวลา 20.00 น. ลุงพล ป้าแต๋น และญาติๆ เดินทางมาถึงบ้านที่หมู่บ้านกกกอก ได้ทำพิธีจุดธูป 30 ดอก เพื่อสักการะพ่อปู่ปาริจิตนาคราช โดยลุงพลบอกว่า ขอบคุณท่านที่ปกป้องดูแล จากนั้นลุงพลเดินมาที่บ้าน ได้มีพิธีสะเดาะเคราะห์ปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย โดยพี่สาวลุงพลจุดไฟให้ลุงพลเดินข้ามเพื่อก้าวข้ามอุปสรรคและสิ่งเลวร้ายที่ผ่านมา ก่อนที่นายผ่อง นางภา วิภา พ่อแม่ของลุงพล ร่วมกันทำพิธีรดน้ำและอาบน้ำมนต์ให้กับลุงพล ก่อนจะโอบกอดกันสามคนพ่อแม่ลูก แล้วนำพานบายศรีทำพิธีเอิ้นขวัญ หรือเรียกขวัญ ผูกข้อไม้ข้อมือให้กับลุงพล ส่วนป้าแต๋นพูดเพียงสั้นๆว่า กลับถึงบ้านแล้วจากนั้นก็เดินเข้าบ้านทันที