บิ๊กต่อ บช.ก.ไม่ทน ส่งตัวแทนแจ้งจับเพจ “สนับสนุนปฏิรูปตำรวจ” หมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา หลังเผยแพร่ข่าวและภาพพร้อมข้อความอันเป็นเท็จ กรณีโพสต์เอกสารราชการกล่าวหาพัวพันแก๊งขนยาไอซ์ 1.5 ตันที่ จ.ตาก หลังถูกจับเมื่อปีที่แล้ว ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ทั้งที่ภาค 6 ตรวจสอบแล้วไม่พบเป็นความจริง ด้าน “บิ๊กใหม่” คนสั่งสอบบอกสื่อให้ไปถามทีมโฆษก ตร.
วงการสีกากีเดือดระอุ กรณีสื่อโซเชียลเผยแพร่เอกสารลงวันที่ 10 ก.พ.64 ที่ พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รอง ผบ.ตร. ลงนามในบันทึกข้อความด่วนที่สุดถึง พล.ต.ท.อภิชาติ ศิริสิทธิ์ ผบช.ภ.6 ให้รายงานชี้แจง กรณีเมื่อวันที่ 1 และ 18 ธ.ค.2563 ที่ได้ประชุมเร่งรัดคดีจับกุมนายสมโชค เนียมสกุล และนายสกล การุณรักษ์ ขับรถบรรทุกพ่วง 18 ล้อ ขนยาไอซ์ 1,500 กก.เมื่อวันที่ 18 ต.ค.2562 โดยให้ ภ.6 เสนอรายชื่อข้าราชการตำรวจให้ ตร. เพื่อออกคำสั่งแต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน เพื่อให้มีอำนาจการสอบสวนทั่วราชอาณาจักรตามกฎหมาย และมอบแนวทางการปฏิบัติในการสืบสวนสอบสวนคดีดังกล่าว แต่ ภ.6 ไม่เสนอรายชื่อดังกล่าวให้ พร้อมระบุอีกว่าพยานให้การระบุถึงผู้เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด 8 คน ในจำนวนนี้มี 3 คน เป็นนายทหารและนายตำรวจด้วย
ความคืบหน้าเรื่องนี้ ล่าสุด ผบช.ก.ส่งตัวแทนแจ้งจับเพจโพสต์หมิ่นประมาทพัวพันแก๊งยาไอซ์ เปิดเผยเมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 17 ก.พ. ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบช.ก. มอบหมาย พ.ต.ท.เอกศิษฏ์ โตอดิเทพย์ รอง ผกก. (สอบสวน) กก.2 บก.ปทส. ในฐานะคณะทำงานป้องกันยุทธการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมเฉพาะทาง เข้าแจ้งความกับ พ.ต.ต.พุฒินันท์ นาสุวรรณ สว. (สอบสวน) กก.2 บก.ป. เพื่อดำเนินคดีเพจข่าว “สนับสนุนปฏิรูปตำรวจ” ในความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา หลังเผยแพร่ข่าวและภาพพร้อมข้อความอันเป็นเท็จ โดยนำเอกสารหลักฐานมามอบให้พนักงานสอบสวน
...
พ.ต.ท.เอกศิษฏ์กล่าวว่า สืบเนื่องจากเพจดังกล่าวโพสต์หนังสือราชการเป็นคำสั่งให้รายงานชี้แจงกรณีการจับผู้ต้องหาคดียาเสพติด พร้อมยาไอซ์ 1,500 กิโลกรัม ในพื้นที่ จ.ตาก เมื่อวันที่ 18 ต.ค.62 ระบุว่าผู้ต้องหาให้การซัดทอดไปถึงนายทหารและนายตำรวจ มีส่วนเกี่ยวข้องกับเครือข่ายยาเสพติดรายนี้ด้วย พร้อมระบุว่ากรณีดังกล่าวพนักงานสอบสวนไม่ขยายผล แต่เร่งสรุปสำนวนคดีให้อัยการสั่งฟ้อง ขณะที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 เอง กลับไม่ตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยกับพนักงานสอบสวนรายนี้ จากกรณีที่เกิดขึ้น พล.ต.ท.ต่อศักดิ์มีรายชื่อถูกพาดพิงถึงตามคำสั่งนี้ และเพจนี้ยังนำหนังสือคำสั่งดังกล่าวซึ่งเป็นความลับทางราชการมาเผยแพร่ อีกทั้งนำภาพ พล.ต.ท.ต่อศักดิ์มาประกอบ ทำให้ประชาชนเข้าใจผิดจนทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง
พ.ต.ท.เอกศิษฏ์กล่าวต่อว่า ผบช.ก.ได้มอบอำนาจให้มาแจ้งความดำเนินคดีฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณากับผู้โพสต์และผู้ที่เกี่ยวข้องกับเพจเฟซบุ๊กชื่อสนับสนุนปฏิรูปตำรวจ ที่นำภาพ พล.ต.ท.ต่อศักดิ์มาเผยแพร่คู่กับข้อความและหนังสือราชการที่มีเนื้อหาไม่เป็นความจริง เนื่องจากกรณีนี้ บช.ภ.6 ตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวไปแล้วบางส่วน พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องที่กล่าวหาแต่อย่างใด ถือเป็นการกระทำเสื่อมเสียต่อชื่อเสียง
เมื่อสอบถามว่าหนังสือราชการที่ถูกเผยแพร่นั้นเป็นของจริงหรือไม่ พ.ต.ท.เอกศิษฏ์กล่าวว่า หนังสือราชการเป็นของจริง แต่ทั้งนี้ต้องการจะให้ตรวจสอบว่าหนังสือดังกล่าวมีที่มาอย่างไร นำมาเผยแพร่ได้อย่างไร เนื่องจากเป็นเอกสารลับไม่สามารถนำมาเผยแพร่ได้ เบื้องต้นได้รับมอบอำนาจให้มาแจ้งความเอาผิดเพจนี้เพียงเพจเดียว รวมทั้งให้กองบังคับการปราบปรามสืบสวนหาที่มาว่าเอกสารดังกล่าวเผยแพร่ได้อย่างไร มีผู้ใดเกี่ยวข้อง และเป็นผู้โพสต์ หากพบมีการหมิ่น ประมาทในลักษณะเช่นนี้อีก อาจจะต้องดำเนินคดีเพิ่มเติม
เบื้องต้นพนักงานสอบสวนได้สอบปากคำ พร้อมกับรับเรื่องไว้ตรวจสอบ ขั้นตอนจากนี้จะเรียกผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องมาสอบสวน พร้อมกันนี้จะดำเนินการสืบสวนถึงการได้มาของหนังสือราชการจากเพจดังกล่าวว่ามีใครเป็นเจ้าของ และใครเป็นผู้โพสต์ข้อความดังกล่าว ก่อนดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป
รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับเพจข่าวดังกล่าวได้โพสต์ภาพและข้อความ 2 โพสต์ โดยโพสต์แรก ได้นำรูปภาพ พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ ผบช.ก.และ พ.ต.อ.เอกราษฏร์ อินต๊ะสืบ รอง ผบก.อก.บช.ภ.6 พร้อมข้อความระบุว่าสองตำรวจระดับสูง เกี่ยวข้องคดีขนยาไอซ์ 1,500 กิโลกรัม ภูธรภาค 6 เสนอรายชื่อ กฎหมายและคดีความ (กมค.) เพื่อเสนอแต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน แต่สำนวนการสอบสวนเสนอพนักงานอัยการไม่มีการสอบสวนใดๆ และอีกโพสต์ได้มีการนำหนังสือราชการมาเผยแพร่
ขณะเดียวกันผู้สื่อข่าวได้โทรศัพท์สอบถามไปยัง พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รอง ผบ.ตร. ถึงกรณีการลงนามในหนังสือดังกล่าว โดย พล.ต.อ.สุชาติ ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ พร้อมระบุเพียงสั้นๆว่า กรณีดังกล่าวให้สอบถามผ่านทางทีมงานโฆษกของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเท่านั้น