รมว.ยุติธรรม ถือฤกษ์ 09.39 น.อัญเชิญพระพุทธรูปโบราณสุโขทัย เข้าห้องทำงานใหม่ ยันในคุกยังปลอดภัยไม่มีติดโควิดฯ ชี้มีมาตรการคัดกรองเข้มข้น เผยมีเรือนจำงดเยี่ยมญาติแล้ว 121 แห่ง ให้คุยผ่านไลน์แทน เตรียมหารือ ปธ.ศาลฎีกาเร่งออกหมายปล่อยตัวผู้ได้รับพระราชทานอภัยโทษ ช่วยลดความแออัดในคุก 

เมื่อเวลา 09.39 น. ที่อาคารกระทรวงยุติธรรมแห่งใหม่ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม อัญเชิญพระพุทธรูปโบราณ จ.สุโขทัย ขึ้นประดิษฐาน ณ ห้องทำงานชั้น 11 พร้อมทั้งจุดธูปเทียนบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อเป็นสิริมงคลในการย้ายมาทำงาน ที่อาคารของกระทรวงแห่งใหม่เป็นวันแรก 

โดย นายสมศักดิ์ กล่าวว่า วันนี้ตนได้อัญเชิญพระพุทธรูปโบราณจาก จ.สุโขทัย มาประดิษฐาน พร้อมทั้งสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อเป็นสิริมงคลในการเข้ามาทำงานที่ทำการแห่งใหม่ เพื่อให้การทำงานเพื่อประชาชนประสบความสำเร็จ ซึ่งจากวันนี้กระทรวงยุติธรรมจะทยอยย้ายหน่วยงานต่างๆ เข้ามาทำงาน จึงอยากประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบถึงที่ทำงานแห่งใหม่นั้น อยู่เยื้องกับอาคารที่ทำการเดิมตรงข้ามบริษัทไปรษณีย์ไทย ติดถนนแจ้งวัฒนะ หากประชาชนต้องการร้องเรียนหรือมีปัญหาใด ที่ต้องการปรึกษาจะได้มาถูกที่

...

จากนั้นเวลา 10.15 น. ที่ห้องแถลงข่าวชั้น 2 นายสมศักดิ์ แถลงถึงมาตรการแนวทางการเฝ้าระวังและป้องกันควบคุมโควิด-19 ในเรือนจำว่า กรมราชทัณฑ์มีมาตรการสั่งงดการเยี่ยมญาติ และให้บุคลากรสังกัดกรมราชกัณฑ์งดการเดินทางออกนอกพื้นที่ และงดการเข้าไปในพื้นที่เสี่ยง ถ้าหากมีความจำเป็นต้องเดินทางออกนอกพื้นที่ ต้องได้รับอนุญาตจากผู้บังคับบัญชาเป็นลายลักษณ์อักษร และให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาอนุญาต เฉพาะรายที่จำเป็นเท่านั้น รวมทั้งให้เฝ้าระวังสอดส่องเกี่ยวกับความมั่นคงในเรือนจำ ติดตามสถานการณ์ของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ เพื่อเป็นแนวทางในการเฝ้าระวังและควบคุมโรคตามแนวทางที่รัฐบาล และ ศบค.กำหนด ให้เรือนจำคัดกรองผู้ต้องขังที่ป่วย และสังเกตอาการผิดปกติของผู้ต้องขัง เพื่อดำเนินการแยกผู้ต้องขังที่สงสัยว่ามีอาการป่วยติดเชื้อ ออกจากผู้ต้องขังรายอื่น รวมทั้งจัดหาอุปกรณ์กรณีป้องกันโรค และให้งดการย้ายผู้ต้องขังระหว่างเรือนจำ 

นายสมศักดิ์ กล่าวต่อว่า ส่วนด้านการคัดกรองผู้ต้องขัง กรณีผู้ต้องขังเข้าใหม่ รวมทั้งผู้ต้องขังออกตรวจรักษาที่โรงพยาบาลภายนอกเรือนจำ และกลับจากศาลให้แยกกักเพื่อเฝ้าระวังโรค 14 วันทุกราย และวัดไข้ทุกวัน หากในระหว่างแยกกักพบมีไข้ หรือวัดอุณหภูมิได้ตั้งแต่ 37.5 องศาเซลเซียสขึ้นไป ร่วมกับอาการระบบทางเดินหายใจอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ไอ มีน้ำมูก เจ็บคอ หายใจเร็ว หรือหายใจเหนื่อย ให้แจ้งโรงพยาบาลแม่ข่ายหรือหน่วยงานสาธารณสุขที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ทันที เพื่อเฝ้าระวังป้องกัน ควบคุมโรค และทำการแยกผู้ต้องขังที่มีอาการผิดปกติออกจากผู้ต้องขังเข้าใหม่รายอื่น คัดกรองผู้ต้องขังก่อนและออกจากเรือนนอนทุกคน หากมีไข้ตั้งแต่ 37.5 องศาเซลเซียส ให้แยกออกจากผู้ต้องขังกลุ่มอื่น 14 วัน เพื่อสังเกตอาการให้การรักษา ทั้งนี้หากมีการพบผู้ป่วยเป็นกลุ่มก้อนให้ประสานโรงพยาบาลแม่ข่าย หรือหน่วยงานสาธารณสุขที่เกี่ยวข้อง เข้าดำเนินการเฝ้าระวังป้องกันทันที

นายสมศักดิ์ กล่าวต่อว่า ขณะนี้มีเรือนจำที่ประกาศงดเยี่ยมญาติในช่วงพบการระบาดของโควิด-19 รวม 121 แห่ง คือ 1.เรือนจำ/ทัณฑสถานที่งดเยี่ยมญาติแล้ว 66 แห่ง แบ่งเป็น กรมราชทัณฑ์สั่งปิด 13 แห่ง เรือนจำ/ทัณฑสถานสั่งปิดตามสถานการณ์ในจังหวัด 53 แห่ง 2.เรือนจำ/ทัณฑสถานที่กำลังจะงดเยี่ยมญาติภายใน 28 ธันวาคม 2563 จำนวน 55 แห่ง และมีเรือนจำที่ยังไม่ปิด 22 แห่ง ส่วนผู้ต้องขังต่างด้าวเฝ้าระวัง 14 วัน มีรับตัวเข้าใหม่ (วันที่ 11-24 ธค.63) จำนวน 253 ราย รับย้าย (วันที่ 11-24 ธ.ค. 63) จำนวน 50 ราย เรือนจำที่รับตัวเข้าใหม่สูงสุด 2 แห่ง คือ เรือนจำจังหวัดกาญจนบุรี 28 คน และ เรือนจำจังหวัดภูเก็ต 27 คน ซึ่งหลายเรือนจำต้องปิดการเยี่ยมญาติตามคำสั่งกรมราชทัณฑ์ แต่ก็มีหลายแห่งสมัครใจ ซึ่งแม้จะปิดการเยี่ยมญาติ แต่เราได้ให้เยี่ยมญาติผ่านแอปพลิเคชันไลน์ได้ เพื่อความปลอดภัยในการป้องกันโรค นอกจากนี้ยังมีมาตรการช่วยเหลือนักโทษเพิ่มเติม คือ เรือนจำอนุญาตให้ผู้ต้องขังใช้เงินเพิ่มจากเดิม 300 บาทต่อวันเป็น 600 บาทต่อวัน 

"ผมยืนยันว่าขณะนี้ในเรือนจำยังไม่มีผู้ติดเชื้อโควิดฯ และเราตั้งใจทำตามมาตรการของรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุข เรามีประสบการณ์มาแล้ว และไม่มีการไปลิดรอนสิทธิใดๆ หากใครได้รับการพระราชทานอภัยโทษหรือพักโทษ เราจะเร่งดำเนินการตามกระบวนการเหมือนเดิม ทั้งนี้โควิดฯรอบใหม่นี้ติดต่อง่าย อาจจะไม่สะดวกสบายในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ซึ่งการใส่หน้ากากอนามัยจะช่วยให้ปลอดภัย กลับมาทำมาค้าขายและดำเนินชีวิตตามปกติได้ ผมขอให้ทุกท่านใส่หน้ากากอนามัยตลอดเมื่อออกจากบ้าน และทำตามมาตรการอย่างเคร่งครัด สถานการณ์ต่างๆ จะได้ควบคุมได้ง่าย และกลับมาเป็นปกติโดยเร็ว" นายสมศักดิ์ กล่าว

...

นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ในช่วงบ่ายวันนี้ ตนจะไปพบกับประธานศาลฎีกา เพื่อหารือถึงการออกหมายสำหรับผู้ต้องขัง ที่ได้รับการพระราชทานลดโทษและอภัยโทษ ประมาณ 20,000 ราย เพราะเกี่ยวเนื่องกับการระบายผู้ต้องขัง เป็นการลดความแออัดในเรือนจำ โดยปกติการออกหมายเพื่อปล่อยตัวและพักโทษผู้ต้องขัง ที่ได้รับการพระราชทานอภัยโทษต้องใช้เวลาถึง 120 กว่าวัน จึงจะจัดแจงเรื่องทุกอย่างเสร็จ ตนจึงอยากขอให้ศาลได้ช่วยในเรื่องของการออกหมายให้เร็วกว่านี้ ซึ่งตนต้องขอย้ำอีกครั้งว่า ผู้ต้องขังกลุ่มนี้จะไม่เกี่ยวกับกลุ่มคดีร้ายแรง 7 ประเภท คือ ฆ่าข่มขืนเด็ก ฆ่าข่มขืน ฆาตกรต่อเนื่อง ฆาตกรโรคจิต สังหารหมู่ ปล้นฆ่าชิงทรัพย์ และนักค้ายาเสพติดรายสำคัญ ขอให้ประชาชนสบายใจได้ และในส่วนที่ 2 จะไปหารือถึงการไต่สวนผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ เพื่อไม่ต้องให้ผู้ต้องขังออกนอกเรือนจำ เป็นการลดความเสี่ยง ซึ่งขณะนี้เราได้ทำเรื่องไปยังศาลแล้ว และมีการเตรียมพร้อมของอุปกรณ์แล้ว

เมื่อถามถึงเรื่องโครงการนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า การตั้งนิคมฯเพื่อเป็นการให้ผู้ต้องขังมีงานทำ มีรายได้ แต่เรายังต้องคิดและศึกษาในการดูแลควบคุมให้สังคมไว้ใจและเกิดความปลอดภัย ซึ่งขณะนี้เรามีศูนย์ JSOC ที่ทำหน้าที่ติดตามดูแลได้ รวมถึงการติดตามผู้พักโทษและกลุ่ม Watchlist ตนอยากให้สังคมเข้าใจคงต้องมีการคุยกันอีกเยอะ