สังคมไทยเกิดความเห็นต่างในเรื่องการเมือง หรือคนในครอบครัวมีความคิดเห็นไม่ตรงกัน นั่นไม่ใช่ปัญหาในการอยู่ร่วมกัน หากทุกฝ่ายยอมรับฟังซึ่งกันและกันด้วยความเข้าใจ และแม้ขณะนี้เด็กเยาวชนออกมาเคลื่อนไหวทางการเมือง ทำให้ผู้ใหญ่ผู้ปกครองที่คิดว่าเกิดก่อน อาบน้ำร้อนมาก่อนมองว่าเป็นสิ่งไม่ควร ทั้งที่ความจริงแล้วควรปล่อยให้เป็นอิสรภาพในยุคสมัยที่เปลี่ยนไป อาจต้องคอยดูแลแบบห่างๆ ให้คำแนะนำ พบกันคนละครึ่งทางไม่ให้เกิดความแตกแยกระหว่างวัย น่าเป็นสิ่งที่ดีกว่า

“ทีมข่าวเจาะประเด็นไทยรัฐออนไลน์” พูดคุยกับศ.ดร. วัลลภ ปิยะมโนธรรม นักจิตวิทยาชื่อดัง และที่ปรึกษาโครงการศูนย์ให้คำปรึกษาและพัฒนาศักยภาพมนุษย์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เพื่อหาทางออกให้กับหลายครอบครัว อาจกลุ้มใจไม่เห็นด้วยกับลูกหลานที่ออกมาเคลื่อนไหว "ชู 3 นิ้ว" และควรย้อนกลับมองดูตัวเอง พร้อมปรับทัศนคติเปลี่ยนความคิด เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข

ศ.ดร. วัลลภ ยอมรับว่า ความคิดเห็นที่แตกต่างกันไม่ใช่เฉพาะคนในครอบครัว แต่เกิดขึ้นทั้งโลกมาตั้งแต่โบราณ ทั้งเรื่องศาสนา การปกครอง การเมือง และเชื้อชาติ มีโอกาสทำให้คนทะเลาะกันได้ และสงครามที่เคยเกิดขึ้นในโลกก็สืบเนื่องมาจากเรื่องเชื้อชาติ ศาสนา ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นคนในครอบครัว หรือผู้ใหญ่ที่ไม่เห็นด้วยกับเด็กเยาวชนในการออกมาเคลื่อนไหวทางการเมือง ควรปรับมุมมอง เพราะการเมืองสอนให้คนเราคิดและกล้าแสดงออก โดยเฉพาะคนที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป อย่าติดอยู่กับอดีตที่เกิดจากสภาพแวดล้อม ความคิดการเมืองที่ฝังในสมองว่าต้องเป็นอย่างนั้น เช่นเรื่องคอมมิวนิสต์ ทำให้อยู่ด้วยความเชื่อและความกลัว เพราะในสมัยก่อนซึ่งเป็นเผด็จการสอนและสร้างให้คนคิดอย่างนี้ ทั้งๆ ที่ปัจจุบันสอนให้คนกล้าแสดงออก

...

“พวกเราลืมไปว่าสังคมและอนาคตเป็นของเด็ก ยิ่งเข้าไปยุ่งจะเป็นปัญหาใหญ่โตมาก อย่าเอาความคิดในอดีตมาสอนและสั่งเด็ก เพราะปัจจุบันเด็กวัยรุ่นเรียนรู้เรื่องเทคโนโลยีเก่งมากกว่าผู้ใหญ่ ต้องถือว่าเป็นอนาคตของพวกเขา หากเข้าใจเขาก็จะไม่เกิดการต่อต้าน อย่าเผด็จการกับเด็ก เพราะเด็กวัยรุ่นหนุ่มสาวรู้ทันหมด อย่าคิดว่าเด็กโง่ ไม่เคยโต ถือเป็นความผิดพลาดมากที่ไม่เคยฟัง ต้องให้ความเคารพ ความรัก ให้เกียรติ ฟังเขาสักนิด จนเกิดความเข้าใจและมีความสุขร่วมกัน ไม่ใช่เอาแต่ชนะกัน ไม่ใช่พ่อแม่จะรู้ไปทุกเรื่องทั้งหมด หากปล่อยให้เด็กไปกับเพื่อนโดยไม่ฟังก็จะสุ่มเสี่ยงถูกหว่านล้อมได้ง่าย ควรแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน อยู่กันอย่างสันติสุข คนที่มีปัญหาไม่ใช่เด็ก แต่เป็นผู้ใหญ่ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง ทั้งๆ ที่เด็กฉลาดกว่า”

หากเปรียบความคิดของเด็กเยาวชน เหมือนการใช้สมองซีกขวา เกี่ยวกับอารมณ์ความนึกคิดที่อยากเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เหมือนเด็กกำลังจะโต เหมือนผู้หญิงที่ต้องการให้คนรับฟัง ควรต้องคุยกับเด็ก ไม่ให้เหมือนกับผู้ชายทั่วๆ ไปที่ชอบมองว่าผู้หญิงเป็นตัวปัญหา ทั้งที่ความจริงแล้วผู้หญิงเหนือกว่าผู้ชายหมด เพราะใช้สมองซีกขวา ทำให้หูและจมูกมีสัมผัสที่ดีกว่า และรอบคอบกว่าผู้ชายที่มักจะชอบหาเรื่อง ดังนั้นสิ่งที่ดีที่สุดต้องดูแลเอาใจใส่และฟังกัน ยกตัวอย่างฟินแลนด์ ครูต้องฟังนักเรียน และต้องพร้อมจะตอบหากเด็กลุกขึ้นถาม

จากปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมไทยขณะนี้ เกิดจากผู้ใหญ่เผด็จการบังคับเด็ก จะทำให้เกิดสงครามระหว่างวัย ซึ่งห่างกันมาก โดยวิธีแก้ปัญหาต้องใช้ชีวิตแบบพอดิบพอดี เรียนรู้ซึ่งกันและกัน เพราะสังคมไทยที่ผ่านมาไม่พยายามเรียนรู้ จมกับความผิดพลาดถูกเผด็จการนำทางทำให้อยู่กับความกลัว จนไม่กล้าพูดกล้าทำ และอยากให้ผู้ใหญ่ในสังคมไทยเข้าใจ เพราะอนาคตเป็นของเด็กเยาวชน ไม่ใช่ของผู้ใหญ่ในบ้านเมืองหรือพ่อแม่ จึงควรดูแลแบบใกล้ๆ และรับฟัง ไม่ควรดุด่าตามกระแสคนโบราณ และพูดแต่เรื่องเก่าๆ เนื่องจากปัจจุบันเด็กเยาวชนอยู่ในโลกของเขาฟังเพลงที่ชอบ อยู่ในโลกโซเชียล ควรต้องรับฟังปรับตัวตามเด็ก และปล่อยให้เด็กเยาวชนเรียนรู้ศึกษาสร้างอนาคตของพวกเขา ไม่ใช่ขู่บังคับให้กลัว จะยิ่งทำให้เด็กเกิดการต่อสู้

“ครอบครัวควรคุยกับลูกอย่างเข้าใจ เพราะเด็กวัยรุ่นต้องการอะไรก็จะเปลี่ยนแปลงทันที ไม่ใช่ไม่พอใจเอาแต่ข่มขู่ ตัดเงินค่าขนม ค่าใช้จ่ายลูก อย่างที่ขณะนี้หลายครอบครัวทำอยู่เพราะไม่พอใจที่ลูกออกจากบ้านไปเคลื่อนไหวทางการเมือง หรือคนเป็นครูไม่มีสิทธิไล่นักเรียน ถือเป็นเผด็จการ อย่าตัดสิทธิเด็ก อย่าคิดว่าเด็กคิดไม่เป็น ทั้งครูและผู้ปกครองต้องมีจิตวิทยา อย่าเอาแต่เปลือกนอก ควรปรับเปลี่ยนตามโลกเพื่อความอยู่รอด อยู่อย่างไรด้วยความสงบสุข ด้วยความสวยงามแม้จะมีความต่าง เพราะเด็กเยาวชนอยู่กับปัจจุบันขณะ แต่พวกเราอยู่กับอดีต อยู่กับไสยศาสตร์ที่สร้างมาเพื่อขู่ให้คนกลัว”

...

ศ.ดร. วัลลภ กล่าวทิ้งท้ายอย่างน่าคิด ขอให้ผู้ใหญ่คอยดูแลเด็กให้ดี ไม่ให้ถูกดึงเป็นเครื่องมือของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และควรจำเป็นต้องปล่อยให้เด็กได้เรียนรู้ ด้วยการรับฟังซึ่งกันและกัน ไม่เช่นนั้นแล้วอาจทำให้เด็กมีปมด้อย เกิดโรคซึมเศร้า เนื่องจากสังคมไทยเป็นสังคมเก็บกด หากไม่เรียนรู้กันและกัน จะเกิดปัญหาหนักมากในสังคมไทย กลายเป็นสงครามต่างวัย และปะทุรุนแรงขึ้นเป็นสงครามกลางเมือง ซึ่งไม่อยากให้เกิดขึ้น.