ยกเครื่อง
ยุติธรรมต่ำตม
สังคมดูเหมือนจะตั้งความหวังว่าคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายกรณีคำสั่งไม่ฟ้องคดีนายวรยุทธ อยู่วิทยา จะทำความจริงให้ปรากฏ
“วิชา มหาคุณ” ประธานคณะกรรมการชุดนี้พร้อมกรรมการรวม 10 คน โดยคำสั่งของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ
ทำให้มีความน่าเชื่อถือมากกว่าชุดของตำรวจและอัยการที่สอบกันเองเนื่องจากตกอยู่ในฐานะผู้ถูกกล่าวหา
“เป่าคดี”...
เบื้องต้นนายวิชาได้เปิดเผยว่า การทำงานจะอยู่ในกรอบ 30 วัน แต่จะต้องรอบคอบทำให้สังคมเชื่อถือและมั่นใจในระบบกระบวนการยุติธรรม
“แต่ถ้าจำเป็นต้องให้ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์อาจต้องใช้เวลาต่อ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนายกฯ ซึ่งจะต้องรายงานเสนอทุก 10 วัน”
“กระบวนการยุติธรรมเสื่อมทรุดไปกว่าเดิมอาจมีเรื่องผลประโยชน์เงินและอำนาจเข้ามาเกี่ยวข้องเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในทุกชาติถึงเวลาที่ต้องยกเครื่องและการทำงานใหม่ สังคมต้องเข้าใจในจุดนี้เนื่องจากเราปล่อยปละละเลยเรื่องนี้มานานพอสมควร”
ถึงเวลาเอาจริงเอาจังกับระบบกระบวนการยุติธรรมไทย
“ถึงขนาดนายกฯ สั่งการรวบรวมความคิดจากผู้ทรงคุณวุฒิต่างๆรวมถึงเอาคดีมาเป็นแม่แบบหรือต้องถอดบทเรียน หากปล่อยทิ้งไว้เมื่อคณะกรรมการชุดนี้ไปนั่งสอบเฉยๆจะทำให้เสียเวลา”
“จะขออะไรที่นายกฯสามารถทำได้เพื่อประชาชนคณะกรรมการชุดนี้ก็จำเป็นต้องทำ”
แน่นอนว่าผลสอบของกรรมการชุดนี้ว่าด้วยเรื่องคดีโดยตรง ก็เพื่อจะได้ข้อเท็จจริงเพื่อตอบคำถามของสังคมที่สงสัยถึงความเป็นมาต่างๆว่าเกิดอะไรขึ้น...ทำไมจึงเป็นไปอย่างนี้ไปได้
...
เท่ากับคลี่ปมอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
นั่นก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งเพื่อหาจุดบกพร่องในการดำเนินการของตำรวจและอัยการซึ่งเชื่อกันว่า “มีนอกมีใน”...แน่
แต่สังคมมีความต้องการมากไปกว่านั้นก็คือ ความยุติธรรมที่จะเกิดขึ้นทั้งระบบ หรือหมายถึงการปฏิรูปที่เป็นรูปธรรม
นั่นแหละคือหน้าที่ของนายกฯที่ประชาชนคาดหวังว่าจะสร้างสรรค์สิ่งนี้ให้กับสังคมและคนไทยทั้งประเทศ
เพราะที่ผ่านมามีการพูดกันมากพูดกันมาตลอด แต่ไม่เคยเกิดขึ้นมาอย่างจริงจัง อย่างการปฏิรูปตำรวจเริ่มต้นก็ทำขึงขังเหมือนจะเป็นจริงเป็นจัง
ตั้งคณะกรรมการฯขึ้นมาหลายชุดหลายทีมงาน เสียเงิน เสียเวลา เสียสมอง เสียความรู้สึก จากความคาดหวัง
สุดท้ายก็เก็บใส่ลิ้นชักไปหน้าตาเฉย...
ที่เห็นกันก็คือในคณะกรรมการแต่ละชุดที่ตั้งขึ้นมาก็แสดงถึงความไม่จริงใจในเบื้องต้นแล้ว ปรากฏมีตำรวจเกือบทั้งทีม
เมื่อถึงขั้นต้องถกเถียงกันก็ใช้เสียงข้างมาก ซึ่งก็คือเสียงของตำรวจนั่นแหละที่คัดค้านไม่เห็นด้วย ข้อเสนอต่างๆจึงตกไป
แทนที่จะได้เพชรที่เจียระไนมาเป็นอย่างดี กลับกลายเป็นเศษสวะที่ไร้ค่าและสุดท้ายก็ไม่ได้นำไปใช้
ทุกอย่างจึงขึ้นอยู่กับความจริงใจเป็นประเด็นหลัก.
“สายล่อฟ้า”