รมว.ยุติธรรม เปิดเวทีฟังความเห็นโครงการนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ "สุพจน์" ร่อนจดหมายลาออกที่ปรึกษาอนุกรรมการฯ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่นหวั่นประชาชนเมินโกง หลังผู้กระทำผิดมีที่ยืน ขณะที่ "ต๊ะ บอยสเก๊าท์" ชี้สังคมยอมรับยากให้โอกาสผู้กระทำผิด
เมื่อวันที่ 25 มิ.ย.63 เวลา 13.30 น. ที่กระทรวงยุติธรรม นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการเสวนาเพื่อแสดงความคิดเห็น จากผลกระทบการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อศึกษาแนวทางการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ การคืนบุคคลให้เป็นคนดีสู่สังคม โดยมีผู้เข้าร่วมเสวนา คือ นายวิศิษฎ์ วิศิษฎ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม นายสิทธิ สุธีวงศ์ รอง ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ นายนัทธี จิตสว่าง ที่ปรึกษาพิเศษสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไย นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานมูลนิติองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น นายมานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น นายพนิต บุญชะม้อย ประธานกรรมการมรรยาททนายความ สภาทนายความฯ นายฐนันดร์ศักดิ์ บวรนันทกุล นักวิชาการสิทธิมนุษยชนด้านกระบวนการยุติธรรม นายเกษมศานต์ โชติชาครพันธุ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) นายสุนทร สุทรธาราวงศ์ ประธานมูลนิธิพันธกิจเรือนจำคริสเตียน (บ้านพระพร) นายจิรพงษ์ ทรงวัชราภรณ์ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ในฐานะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและยาเสพติด และนายวินรวีร์ ใหญ่เสมอ (ต๊ะ บอยสเก๊าท์)
โดย นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ขอขอบคุณทุกคนที่มาแสดงความคิดเห็น ซึ่งการพูดคุยไม่ว่าผลจะออกมาทางไหน ตนยินดีน้อมรับฟังและให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ เพราะสิ่งที่ตนตั้งใจทำงานในกระทรวงยุติธรรมเพื่อเติมเต็มสิ่งที่ยังขาด โดยยอมรับว่าตนไม่ใช่นักกฎหมาย แต่ก็มีแนวทางการทำงาน ซึ่งมีบางคนบอกว่าตนทำการเมืองไม่มีอุดมการณ์ อยากขอย้ำว่าตนมีแนวทาง คือ แก้ปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชน เพราะมองเห็นความลำบากในพื้นที่ชนบท
...
นายสมศักดิ์ กล่าวต่อว่า ตนเป็นรัฐมนตรีมา 14 ครั้ง ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ทำงานด้านสังคม โดยคนก็ตราหน้าว่าจะทำความเข้าใจได้หรือไม่ ตนจึงเป็นนักฟังที่ดี เพื่อต้องการความจริงและแก้ปัญหาให้ถูกจุด โดยขอย้ำว่ายินดีรับฟังทุกข้อเสนอแนะ ส่วนการตั้งคณะอนุกรรมการศึกษาจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ ยังเป็นเพียงขั้นตอนศึกษาซึ่งยังไม่สร้าง โดยปัจจุบันมีผู้ต้องขังในเรือนจำ 3.8 แสนคน พบว่า มีผู้ต้องขังที่พ้นโทษกลับเข้าเรือนจำ เพราะไม่มีอาชีพและเป็นผู้มีรายได้น้อย ตนจึงตั้งคณะอนุกรรมการฯชุดนี้ เพื่อมาศึกษาแก้ปัญหาดังกล่าว
นายสมศักดิ์ กล่าวต่อว่า ที่เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์การตั้งที่ปรึกษาคณะอนุกรรมการฯ ขอย้ำว่าที่ตั้งที่ปรึกษาส่วนใหญ่เป็นอดีตข้าราชการ อย่าง นางอัญชลี ชวนิชย์ อดีตผู้ว่าการนิคมอุตสาหกรรม นายศิวะ แสงมณี อดีตอธิบดีกรมราชทัณฑ์ นายชวนพิศ ฉายเหมือนวงศ์ อดีตผู้ว่าการเคหะแห่งชาติ นายเทิดศักดิ์ เศรษฐมานพ อดีตอธิบดีกรมทางหลวง และ นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม แต่กรณี นายสุพจน์ นั้น ถูกตั้งข้อสังเกตุ ก็ขอเน้นย้ำว่า การตั้งเป็นที่ปรึกษาเพื่อให้สะท้อนประสบการณ์เป็นผู้ต้องขังเป็นหลัก เพราะจะรู้ใจผู้ต้องขัง ซึ่งถ้าสร้างสวนสาธารณะและเชิญ นายสุพจน์ มาคงแย่ที่สุด แต่ทั้งหมดตนขอรับฟัง เพราะไม่อยากเกิดข้อขัดแย้ง
นอกจากนี้ นายสมศักดิ์ ยังอ่านจดหมายลาออกจากตำแหน่งที่ปรึกษาอนุกรรมการฯของ นายสุพจน์ ว่า เมื่อวันที่ 22 มิ.ย.63 นายสุพจน์ เขียนจดหมายถึง รมว.ยุติธรรม ขอลาออกจากคณะที่ปรึกษาอนุกรรมการฯ โดยระบุว่า "ตามที่คณะกรรมาราชทัณฑ์ได้มีคำสั่ง 1/2563 เรื่องแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเรื่องศึกษาแนวทางการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ ลงวันที่ 18 มิ.ย.2563 แต่งตั้งผมเป็นคณะที่ปรึกษาของคณะอนุกรรมการชุดดังกล่าว ตามรายละเอียดที่แจ้งแล้วนั้น เมื่อได้รับการทาบทามจากกระทรวงยุติธรรม ผมเห็นว่าจะสามารถใช้ความรู้ ประสบการณ์ และความเข้าใจที่มีต่อผู้ต้องขังในเรือนจำ มาถ่ายทอดให้โครงการนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ เกิดประโยชน์สูงสุดต่อสังคมและประเทศชาติ ผมจึงได้ตอบรับที่จะเข้าร่วม แต่ต่อมาผมได้รับทราบจากสื่อต่างๆว่า มีกระแสความไม่เห็นด้วยและเห็นว่า การที่ผมรับหน้าที่เป็นที่ปรึกษาอนุกรรมการฯชุดนี้ไม่มีความเหมาะสม ผมได้พิจารราแล้วเห็นว่า เพื่อเป็นการยุติความขัดแย้งในสังคมและให้อนุกรกรมการฯ สามารถเริ่มปฏิบัติหน้าที่เพื่อประโยชน์ของประเทศได้ทันที ผมจึงขอลาออกจากตำแหน่งที่ปรึกษาของคณะอนุกรรมการฯ โดยมีผลทันทีจากวันที่ 22 มิ.ย.63"
เช่นเดียวกับ นายชวนพิศ ฉายเหมือนวงศ์ ได้ทำหนังสือขอลาออกจากตำแหน่งเช่นเดียวกัน โดยให้เหตุผลว่า "มีภารกิจบางประการที่รับผิดชอบและจะต้องเดินทางไปต่างจังหวัดเป็นประจำทุกเดือน อาจจะมีผลกระทบทำให้การทุ่มเทเวลาที่จะช่วยงานไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ตามเจตนารมย์"
นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า มีบางส่วนที่ต้องเรียนว่า สื่อบางคนที่มีบุคคลที่อยู่เบื้องหลังเขา มันอาจจะเป็นการเมืองอยู่เบื้องหลังสื่อ สะท้อนภาพแตกต่างไปจากสิ่งที่องค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่นพูดไว้ โดยมีการแปลงสารไปอย่างอื่น ให้มีความเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่ผิดแปลกไป ซึ่งขอย้ำว่าเป็นเพียงต้องการความรู้ เพราะเราไม่สามารถนอนในเรือนจำได้
...
ด้าน นายวิศิษฐ์ กล่าวว่า จากตัวเลขผู้ต้องขัง 3.8 แสนคน ได้เก็บข้อมูลการกระทำผิดซ้ำ 5 ปีย้อนหลัง พบว่าผู้กระทำผิดซ้ำ 35% ไม่ลดลง โดยที่ผ่านมากรมราชทัณฑ์ก็มีแนวคิดคืนคนดีสู่สังคม แต่การคืนบุคคลเข้าสู่สังคมยอมรับว่า ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะการเข้าเรือนจำไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มต้น โดยปัญหาใหญ่ที่พบคือทัศนคติในเรื่องของโอกาส ซึ่งหลายคนจะพูดถึงโอกาส แต่เรื่องนี้เป็นข้อด้อยที่สุด เพราะคนที่เคยติดคุกจะขาดคุณสมบัติหลายเรื่อง ทำให้ช่องทางเดินไม่กว้าง อย่างบริษัทเอกชนก็กังวลใจในการรับเข้าทำงาน แต่ถ้าเราไม่ดูแลก็จะเป็นปัญหาหนึ่ง เพราะเขาจะกระทำผิดอีก ทั้งนี้ที่ผ่านมาภาครัฐไม่เคยรับผู้ต้องขังเลย ตนจึงเคยถกเถียงประเด็นนี้ จนในที่สุดได้ลองเปิดโอกาส โดยตัดคุณสมบัติเคยจำคุกมาก่อนออก
ด้าน นายนัทธี กล่าวว่า เห็นด้วยกับเรื่องนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ เพราะในปัจจุบันการฝึกอาชีพนักโทษเป็นไปด้วยความลำบาก เพราะการขนอุปกรณ์เข้าออก จะต้องผ่านการตรวจค้นจำนวนมาก ส่งผลให้ผู้ประกอบการถอยออก ซึ่งตนมองว่าถ้าฝึกอาชีพนอกเรือนจำ จะทำให้ดีขึ้นรวมถึงให้ผู้ต้องขังมีรายได้สูงขึ้นด้วย โดยน่าจะเป็นประโยชน์ในการฝึกอาชีพอย่างจริงจัง แต่ตนก็มีข้อคิดเห็นฝากไว้ คือ นิคมอาจอยู่ติดเรือนจำ โดยทำเป็นเรือนจำชั่วคราว เพราะอาจติดข้อกฎหมายห้ามนำนักโทษออกนอกเรือนจำ ส่วนขั้นตอนไปก็อาจส่งไปฝึกโรงงานจริง
...
ขณะที่ นายวินรวีร์ หรือ "ต๊ะ บอยสเก๊าท์" ได้เล่าประสบการณ์ว่า เคยตกเป็นผู้ต้องหาคดีปืนและยาเสพติด โดยใช้เวลาสู้คดี 3 ปี แต่ในช่วง 2 ปีแรกถูกแบนจากวงการบันเทิง แต่โชคดีศาลพิพากษาว่าไม่ผิด แต่หลังไม่ผิดสิ่งที่ได้รับคือ ทุกคนยังตราหน้าว่าเป็นคนไม่ดี และผลกระทบจากข่าวยังมีอยู่ อย่างเวลาเป็นพรีเซ็นเตอร์จะถูกตัดสิทธิ์เลือกคนอื่น ซึ่งตนพยายามสู้มาโดยตลอด แต่ยอมรับว่าในสังคมยอมรับยาก ขนาดตนไม่เข้าคุก ก็ยังถูกตัดสินทางสังคม โดยเป็นเรื่องยากมากที่จะมีคนเข้าใจและให้โอกาส อย่างเพื่อนในวงการหลายคนก็ไม่ได้รับโอกาส ส่วนโครงการเรือนจำอุตสาหกรรม ตนมองว่าเป็นโครงการที่ดีและสร้างสรรค์ ซึ่งถ้ามีพื้นที่ได้รับการยอมรับ คุณภาพชีวิตก็จะกลับมาเป็นคนอีกครั้ง
ขณะที่ นายประมนต์ กล่าวว่า เรื่องโครงการนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ ไม่ใช่ประเด็นที่องค์กรมีความเห็น เพราะยังไม่เข้าใจลึกซึ้ง แต่เท่าที่รับฟังการเสวนาก็เข้าใจว่า โครงการที่ต้องการนำคนดีกลับสู่สังคม ถ้าทำได้ดีก็ควรได้รับการสนับสนุน แต่การแต่งตั้งผู้ที่เกี่ยวข้อง อาจส่งผลกระทบต่อโครงการได้ เพราะองค์กร มีความเห็นและตั้งข้อสังเกตุถึงการตั้งผู้ที่เข้ามาช่วยศึกษา
...
ด้าน นายมานะ กล่าวเพิ่มเติมว่า เท่าที่ศึกษาโครงการฯยอมรับว่า การพัฒนาเตรียมความพร้อมคืนคนดีสู่สังคม เป็นเรื่องที่ดีและสังคมไทย ยอมรับว่าเป็นสิ่งที่ดี ซึ่งในภาพรวมไม่มีอะไรคัดค้าน โดยส่วนใหญ่เห็นด้วย แต่ปัญหาใหญ่คือการต่อต้านคอร์รัปชั่น เพราะทัศนติของประชาชน เวลาพูดคอร์รัปชั่นจะกลัวเดือดร้อน โดยคนไทยเกลียดการโกงทุกคน แต่มักจะพูดว่าอยู่เฉยๆดีกว่าเพราะมีความเชื่อว่า เป็นผู้มีตำแหน่งใหญ่ เดี๋ยวก็กลับมาได้ ดังนั้นตนมองว่า ถ้าโดนลงโทษแล้วกลับมามีบทบาททางการเมืองได้ ก็จะซ้ำเติมความรู้สึกประชาชนที่เชื่อว่า ไม่เห็นมีอะไรเลย จนอาจจะกลายเป็นวัฒนธรรมสังคม ที่เมินเฉยเรื่องคอร์รัปชั่น
"เราต้องช่วยกันทำทิศทางที่ดีให้ก้าวหน้า โดยคนที่เคยต้องขังและกลับสู่สังคมเป็นเรื่องที่ดี แต่คดีทุจริตคอร์รัปชั่นไม่ใช่วิ่งชิงปล้นหรือยาเสพติด ซึ่งเป็นคดีทำลายชาติ สร้างความเสียหาย และรัฐธรรมนูญก็กำหนดมาตรการไว้ห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมือง แต่เชื่อว่ายังได้รับโอกาสทางสังคมที่สามารถไปวัดและห้างสรรพสินค้าได้ ดังนั้นการแต่งตั้งผู้ที่เกี่ยวข้อง ตนขอให้พิจารณาอย่างระวัง และต้องไม่เป็นต้นแบบ จนประชาชน และข้าราชการเกิดความเข้าใจผิด" นายมานะ กล่าว
ส่วน นายจิรพงษ์ กล่าวว่า ชื่อโครงการฯก็สะท้อนว่า ต้องการเปิดโอกาส ซึ่งถ้าตนเป็น นายสุพจน์ จะไม่มาให้ช้ำ ที่ให้สังคมตีหน้า ดังนั้นขอฝากแง่คิดว่า แต่งตั้งที่ปรึกษาน้อยไป โดยถ้าเอามาเป็นกลุ่ม นายสุพจน์ จะไม่มีปัญหา เพราะเขาได้รับโทษแล้ว และออกมาคือผู้บริสุทธิ์ โดยจากนี้ตนขอเสนอแต่งตั้งให้เยอะกว่านี้ เพราะเป็นการเปิดโอกาส รวมถึงเป็นตัวอย่างที่ดีที่เขากลับตัว