ขบวนการอุ้มบุญในไทย ยังคงมีต่อเนื่อง ล่าสุดเจ้าหน้าที่ตำรวจนำกำลังบุกทลายแหล่งอุ้มบุญกลางกรุงและปริมณฑลหลายจุด โดยมีนายทุนชาวจีนอยู่เบื้องหลัง ออกค่าใช้จ่ายจัดหาหญิงสาวมารับจ้างตั้งครรภ์ มีการดูแลอย่างดีกระทั่งคลอด ถือเป็นเครือข่ายองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติอีกรูปแบบหนึ่งที่ใช้ไทยเป็นฐานกระทำความผิด ดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้า
- แก๊งอุ้มบุญนี้ ทำมาตั้งแต่ปี 2555 โดยมีนายหน้าจัดหาหญิงสาวมารับจ้างอุ้มบุญ ในราคาตั้งแต่ 4-6 แสนบาท หากเป็นลูกแฝด จะได้ค่าจ้างมากกว่านี้ ก่อนส่งไปสปป.ลาว เพื่อฝังเชื้ออสุจิ และกลับมาไทยกระจายอยู่ในพื้นที่ต่างๆ เมื่อใกล้ครบกำหนดคลอด จะเดินทางไปคลอดที่ประเทศจีน และที่น่าตกใจมีการคาดกันว่าน่าจะเป็นขบวนการ "ขายอวัยวะมนุษย์" ซึ่งตำรวจกำลังมีการสืบสวนสอบสวนขยายผล
- ก่อนหน้านั้นแม้ว่าการรับจ้างอุ้มบุญ ซื้อขายไข่ น้ำเชื้อ ตัวอ่อน เป็นเรื่องผิดกฎหมายในไทย แต่ที่ผ่านมาได้มีเอเย่นต์รับจ้างมาจากชาวต่างชาติ จัดหาหญิงสาวชาวไทยให้มารับจ้างอุ้มบุญตั้งท้อง โดยเมื่อปี 2557 เป็นข่าวใหญ่โต กรณีหญิงสาวใน จ.ชลบุรี รับจ้างตั้งท้องโดยใช้น้ำเชื้อจากชายชาวออสเตรเลีย ผสมกับไข่ของสาวจีนเป็นตัวอ่อนมาฝังในมดลูก กระทั่งตั้งท้องเป็นแฝดชายหญิง ต่อมาพบว่าทารกชายเป็นดาวน์ซินโดรม หมอแนะนำให้ทำแท้ง แต่หญิงสาวเลือกจะเอาเด็กไว้ สุดท้ายผู้ว่าจ้างเอาทารกหญิงไป แล้วทิ้งทารกชายไว้ให้เลี้ยง
- รวมถึงเมื่อเดือน ส.ค.ในปีเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจสอบห้องพักแห่งหนึ่งในย่านลาดพร้าว มีหญิงสาวและเด็กหลายคน รวมถึงหญิงกำลังตั้งครรภ์ ซึ่งรับจ้างอุ้มบุญ โดยมีชายชาวญี่ปุ่นระดับเศรษฐีเป็นผู้ว่าจ้าง มีการเข้าออกไทยตั้งแต่ปี 2555 ถึงปี 2557 รวม 65 ครั้ง และหลายครั้งที่ชายคนนี้อุ้มเด็กเล็กทั้งชายและหญิงออกนอกประเทศ ต่อมาในปี 2561 ศาลไทยได้ตัดสินให้เขาเป็นบิดาของเด็กอุ้มบุญทั้ง 13 คนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย หลังพบว่าเขาเตรียมการอุปการะเด็กเหล่านั้นและไม่พบพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ และเป็นผู้มีความพร้อมในการเลี้ยงดูเด็กๆ
- ยังไม่เท่านั้น ดูเหมือนไทยจะเป็นดินแดนแห่งการอุ้มบุญ เพราะเมื่อปี 2554 ได้มีข่าวสร้างความสะเทือนใจให้กับคนในสังคมไทย เมื่อตำรวจทลายแก๊งค้ามนุษย์ข้ามชาติมีชาวไต้หวันเป็นหัวหน้าแก๊ง ได้กักขังสาวชาวเวียดนาม 15 คน เพื่อผลิตเด็กขาย หัวละ 1.5 ล้านบาท โดยใช้ไข่ของบุคคลที่ 3 เพื่อตัดปัญหาแม่ตั้งท้องผูกพันกับเด็กที่เกิดมา แต่สุดท้ายกฎหมายเอาผิดได้แค่ปรับเงิน และโทษจำคุกเป็นรอลงอาญา
- ขณะที่ต่างประเทศพบว่า แคนาดาเป็นจุดหมายยอดนิยมสำหรับพ่อแม่ที่ต้องการหญิงสาวมาอุ้มบุญตั้งครรภ์แทน และจ่ายค่าตอบแทนเพียงค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นระหว่างการตั้งครรภ์เท่านั้น เช่น ค่าวิตามิน ค่าเสื้อผ้า ค่าของใช้จำเป็น ค่าเดินทางไปพบแพทย์ โดยเป็นไปตามหลักเห็นแก่ประโยชน์ของผู้อื่นเป็นที่ตั้ง ไม่หวังผลตอบแทน เช่นเดียวกับประเทศอังกฤษ แต่ต่างกับการอุ้มบุญเชิงพาณิชย์ในประเทศสหรัฐฯ หญิงสาวรับจ้างอุ้มบุญมีรายได้เป็นหลักพันดอลลาร์สหรัฐฯ
- ส่วนไทย การอุ้มบุญสามารถทำได้อย่างถูกกฎหมาย ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจิญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 ที่ระบุว่า สามีภริยาที่มีสิทธิดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทน จะต้องเป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายและไม่สามารถมีบุตรได้ โดยอาศัยเทคโนโลยีต่างๆ ทางการแพทย์ด้วยการนำตัวอ่อนที่เกิดจากไข่ หรืออสุจิของสามีภริยากับไข่ หรืออสุจิคนอื่น แต่ห้ามใช้ไข่ของหญิงที่รับตั้งครรภ์แทน ส่วนหญิงโสด ชายโสด ชายหญิงที่อยู่กินฉันสามีภริยาโดยไม่จดทะเบียนสมรสอย่างถูกต้อง และคู่รักเพศเดียวกัน ไม่สามารถทำได้
- แต่กฎหมายฉบับนี้ได้มีข้อห้าม ไม่ให้มีการรับจ้างตั้งครรภ์ หรือทำเพื่อประโยชน์ทางการค้า ทั้งเป็นนายหน้า คนกลางโดยเรียกรับทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์ใดๆ เป็นการตอบแทนในการจัดการหาหญิงอื่นตั้งครรภ์แทน หรือการรับจ้างอุ้มบุญ ถือเป็นความผิด มีโทษทางอาญา
...
นางสุดารัตน์ เสรีวัฒน์ ผู้อำนวยการมูลนิธิพัฒนาการคุ้มครองเด็ก เปิดเผยกับ "ทีมข่าวเจาะประเด็นไทยรัฐออนไลน์" ว่า การแก้ปัญหา "อุ้มบุญ" หรือการตั้งครรภ์แทนในไทยควบคุมยาก ไม่สามารถห้ามได้จนไทยถูกมองว่าเป็น "อู่มดลูกโลก" ไม่สามารถปราบปรามได้ เนื่องจากกฎหมายที่ออกมามีบทลงโทษน้อยมาก และมองการบังคับใช้กฎหมายก็เพื่อป้องกันปัญหาการแย่งลูก จากความผูกพันที่หญิงรับจ้างอุ้มบุญได้ดูแลเด็กในระยะหนึ่งทั้งการดูแลป้อนนมจนเกินความผูกพันไม่ยอมคืนเด็กให้ เป็นที่มาของการห้ามใช้ไข่ของหญิงที่รับตั้งครรภ์แทน
"ข่าวการอุ้มบุญที่ผ่านมา ยังไม่มีใครรู้ว่ามีการนำเด็กไปขายอวัยวะหรือไม่ ซึ่งเป็นการค้ามนุษย์ เมื่อเด็กถูกพาออกไปจากไทย โดยส่วนตัวมองว่าไม่อยากให้มีการจ้างอุ้มบุญ หรือตั้งครรภ์แทน เพราะอย่างไรก็มีการทำผิดกฎหมายอยู่ดี กลายเป็นปัญหาสังคม หาทางออกไม่ได้ อย่างกรณีชายญี่ปุ่นจ้างหญิงไทยอุ้มบุญเด็ก 13 คน หลายคนเข้าใจว่าถูกนำไปเลี้ยงที่ญี่ปุ่นแล้ว แต่ความจริงทางกระทรวงพัฒนาสังคมฯ ยังคงเลี้ยงดูแลเด็กทั้งหมด อีกทั้งก่อนหน้านั้นที่ชายญี่ปุ่นดังกล่าวอุ้มเด็กออกไป ก็ไม่มีหน่วยงานใดติดตามอย่างจริงจังว่ามีการนำเด็กไปเลี้ยงดูจริงหรือไม่ หรือเอาไปทำอะไร"
สรุปแล้วขบวนการ "อุ้มบุญ" ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องในสังคมไทย เกิดจากประเด็นปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ เพราะหญิงสาวที่มารับจ้างอุ้มบุญ ต้องการเงินก้อนใหญ่ไปทำประโยชน์อย่างอื่น จึงนำไปสู่การรับจ้างตั้งครรภ์แทนในระยะเวลา 9 เดือนก็ได้เงินง่ายๆ ไม่ต้องไปนอนกับใครเพื่อให้ท้อง อีกทั้งไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นความผิด เมื่อหญิงรับจ้างอุ้มบุญเหล่านั้นออกไปข้างนอกก็ดูเหมือนหญิงสาวธรรมดาตั้งครรภ์ ดูไม่ออกว่ารับจ้างอุ้มบุญ จนกว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้ข้อมูลและนำไปสู่การจับกุมผู้เกี่ยวข้อง จึงอยากเสนอหากใครต้องการลูกก็ควรนำเด็กกำพร้าไปเลี้ยงดู ดีกว่าการจ้างอุ้มบุญ เพราะสุดท้ายมองว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ควบคุมยากจริงๆ.