ทีมจับลิขสิทธิ์กระทงเด็ก 15 ขอชี้แจง หลังตกเป็นจำเลยสังคม ยืนยันได้รับมอบอำนาจโดยตรงจากเจ้าของลิขสิทธิ์ที่ญี่ปุ่น ทำตามหน้าที่ด้วยความบริสุทธิ์ใจ หากใครจะแจ้งความเป็น "แก๊งตบทรัพย์" ก็ยินดี 


วันที่ 6 พ.ย. นายประจักรษ์ โพธิผล ตัวแทนลิขสิทธิ์บริษัทการ์ตูนแห่งหนึ่ง ชี้แจงต่อสื่อมวลชนหลังตกเป็นจำเลยสังคม หลังแจ้งความที่ สภ.เมืองนครราชสีมา เพื่อเอาผิดกับเด็กสาววัย 15 ปี ก่อนนัดหมายเพื่อซื้อกระทงลายการ์ตูนละเมิดลิขสิทธิ์ ซึ่งมีโทษปรับ 50,000 บาท แต่ภายหลังได้เจรจากับครอบครัวเด็กและต่อรองเหลือ 5,000 บาท กระทั่งบริษัทเจ้าของลิขสิทธิ์ได้ชี้แจงผ่านเฟซบุ๊กว่าไม่ได้มอบหมายให้ผู้ใดจับกุมสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ตามที่ถูกกล่าวอ้าง

นายประจักรษ์ กล่าวว่า ภายหลังบริษัท TAC ออกแถลงการณ์ว่าไม่ได้มอบหมายให้ผู้ใดเข้าจับกุมสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์นั้น เนื่องจากบริษัทดังกล่าว เป็นฝ่ายดูแลการจัดจำหน่าย ส่วนบริษัท เวอริเซ็ค จำกัดที่ตนเป็นพนักงานนั้น เป็นฝ่ายปราบปราม โดยตรงที่ได้รับมอบอำนาจจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งตนได้รับมอบหมายให้ดำเนินการด้านลิขสิทธิ์

ส่วนเรื่องการรับเงิน 50,000 บาทนั้น คาดว่าเป็นความเข้าใจผิดทางแง่กฎหมาย ที่ระบุใน พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ ม.31 ว่าผู้กระทำผิดต้องระวางโทษปรับตั้งแต่ 50,000-400,000 บาท กรณีของเด็กคือการทำซ้ำและดัดแปลงลวดลายตัวการ์ตูน ซึ่งตร.มีหลักฐานว่าน้องได้ลงขายมาตั้งแต่เมื่อวันที่ 10 ตุลาคมที่ผ่านมา

จากนั้น เมื่อตำรวจเชิญตัวเด็กมาโรงพักเพื่อเจรจาไกล่เกลี่ยความเสียหายแล้ว ตนในฐานะผู้รับมอบอำนาจมีสิทธิ์ในการตัดสินใจทางคดี และเห็นแก่เด็กจึงถอนแจ้งความ ส่วนเงิน 5,000 บาท ก็ถือเป็นค่าเสียหายที่ต้องส่งให้กับบริษัทตามสิทธิ์ ซึ่งตนก็มีรางวัลนำจับมูลค่าต่ำกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ยืนยันว่า ดำเนินการทางกฎหมายทั้งกับรายใหญ่หรือรายย่อย

...

อย่างไรก็ตาม ตนไม่ใช่คนที่สั่งจองกระทงกับเด็กเพื่อให้มาถูกจับกุมและไม่มีใครมาเค้นสอบในห้องมืดตามที่เป็นข่าว ซึ่งห้องที่สอบสวนเป็นห้องประชุม และวันนั้นไม่ได้เปิดแอร์จึงออกมาตามบันไดข้างนอกห้อง ยืนยันว่าไม่มีใครบังคับให้เซ็นยอมรับความผิด ส่วนรายละเอียดทางคดีตนไม่ขอเปิดเผย

ทั้งนี้ หากทางครอบครัวหรือบุคคลใดจะแจ้งความกลับเนื่องจากมองว่าพวกตนเป็นแก๊งตบทรัพย์ก็ยินดี เพราะตนบริสุทธิ์ใจและมีหลักฐาน รวมถึงหนังสือมอบอำนาจที่ไม่สามารถขายให้กันได้

ด้าน ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ หรือทนายคลายทุกข์ กล่าวว่า ในคดีนี้ หากเป็นตามที่เด็กบอกว่า ตนเองถูกว่าจ้างให้ประดิษฐ์กระทงและนัดหมายให้มาส่งของเพื่อที่จะถูกจับกุม มีภาษาเทคนิคว่า “ล่อให้กระทำความผิด” ต่างกับการล่อซื้อที่หมายความว่า ผู้ที่ถูกล่อได้กระทำความผิดจริงอยู่แล้ว ในส่วนนี้ต้องตรวจสอบจากพนักงานสอบสวนว่ามีข้อเท็จจริงอย่างไร ขณะเดียวกัน ศาลฎีกามีคำพิพากษาเป็นแนวทางหลายคดีว่าผู้ที่ถูกล่อให้กระทำผิดนั้นไม่มีความผิด อีกทั้งตำรวจไม่มีอำนาจจับกุมสอบสวน