คนเรา...ที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ มิได้อยู่โดยลำพังคนเดียว การที่เราจะอยู่ร่วมกันด้วยความสุข ...เป็นที่รัก นอกจากจะต้องเป็นคนดี มีเมตตากรุณา มีสัมมาคารวะต่อผู้ที่ควรคารวะ พูดจาอ่อนหวานแล้ว... ยังต้องมีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ อุดหนุน เจือจานกันเป็นเครื่องผูกใจคนเหล่านั้นด้วย...

“ผู้ขอบ่อยๆย่อมเป็นที่รังเกียจของผู้อื่นฉันใด...ผู้ให้ก็ย่อมเป็นที่รักของผู้อื่นฉันนั้น” ตัดตอนมาจากข้อธรรมะ “ทานที่มีผลมาก มีอานิสงส์มาก” ประณีต ก้องสมุทร

เชื่อกันว่า ทำบุญปล่อยสัตว์...จะเป็นการซื้อชีวิต เกิดชาติหน้าฉันใดจะมีสุขภาพที่ดี อายุยืน หากปล่อยนกปล่อยปลา...จะช่วยให้พ้นเคราะห์ มีลูกหลานเต็มบ้าน ครั้น...ทำบุญไหว้พระ ถวายพวงมาลัยดอกไม้ ธูปเทียนบูชา หากตายไปแล้วเกิดชาติหน้าก็จักอุดมด้วยลาภยศ ชื่อเสียง

มีโอกาสได้ทำบุญ...สร้างโบสถ์ สร้างวิหารสืบต่อพระศาสนา เกิดชาติหน้าจะมีวาสนา บารมีมากมายเหลือคณา หรือทำบุญสวดมนต์ก็มีความเชื่อกันว่าจะทำให้มีสติปัญญาแหลมคม

บริจาคยา...สุขภาพจะแข็งแรง บริจาคหนังสือ ...จะส่งผลหนุนนำทำให้อนาคตได้ดี มีการศึกษาสูงๆ หรือทำบุญน้ำมันตะเกียง...จะทำให้ชีวิตโชติช่วงชัชวาล เจริญรุ่งเรือง มีชื่อเสียงโด่งดังดั่งเปลวไฟ

...

คนที่พิมพ์หนังสือธรรมะแจกเป็นธรรมทาน เกิดชาติหน้าว่ากันว่าจะมีบารมี วาสนา มีชีวิตความเป็นอยู่สุขสมบูรณ์พร้อมสรรพ

ทำบุญ “ช่วยเด็กกำพร้า”...เด็กเร่ร่อน บุญหนักอย่างนี้ มีความเชื่อกันว่าเกิดชาติหน้าจะทำให้ชีวิตครอบครัวสมบูรณ์พร้อมสุข มีพ่อแม่อุ้มชู ครอบครัวอบอุ่นพร้อมหน้า

“บุญ” คือการกระทำดีตามหลักคำสอนในศาสนา ความเชื่อเกี่ยวกับบุญทำให้เราๆท่านๆทำบุญมากขึ้นหรือน้อยลงอย่างไรนั้น ขึ้นอยู่กับศรัทธาในหัวใจของผู้ใจบุญแต่ละคน

OOOO

“มนุษย์”...ทุกคนเกิดมาย่อมก็ต้องเจอกับปัญหา ไม่เจอไม่ได้แน่ แต่จะผ่านไปได้อย่างไรนั้นก็สุดแล้วแต่ละบุคคล...เราจะผ่านไหม? จะแก้ปัญหานั้นได้หรือไม่?

คนบางคนอาจจะแก้ได้ด้วยฝีมือตนเองนั้นส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนหนึ่งอาจจะมีอะไรบางอย่างที่อยู่เหนือธรรมชาติ แบบที่เรียกว่าวิทยาศาสตร์ก็อธิบายปรากฏการณ์นั้นไม่ได้มาเป็นตัวช่วย

หรือถ้าจะพูดกันตรงๆเข้าใจง่ายๆก็คือให้ “สิ่งศักดิ์สิทธิ์” ช่วย...เรียกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์นี่แหละที่อาจจะปัดเป่าคลี่คลายปัญหาได้เร็วกว่า...ไปไวกว่า

คนไม่น้อยอาจจะมีประสบการณ์ตรงอยู่หลายครั้งหลายครา ด้วยสิ่งที่เคารพศรัทธาหรืออะไรก็ตามแต่มาช่วยแบบแปลกๆ แบบที่อธิบายให้ใครฟังก็ไม่ได้ เพราะอาจจะไม่มีใครเชื่อ อย่างเช่น บางที...ก็มาบอกเป็นฝัน...หรือดลใจให้ทำอะไรบางอย่าง บางเรื่อง จนกระทั่งนำไปสู่ผลสำเร็จได้อย่างไม่น่าเชื่อ

ความเชื่อเรื่องลี้ลับสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำหรับใครบางคนอาจไม่ใช่เรื่องสำคัญ...ไม่เชื่อ...ไม่ขอกล่าวถึง แต่คนไม่น้อยก็เชื่อ และก็เชื่อมากๆอย่างสุดหัวใจ ด้วยเพราะผ่านประสบการณ์ตรงที่ประสบพบเจอมาแล้วกับตัว

เรื่องทำนองอย่างนี้...ต้องเชื่อด้วยตัว อย่าได้เชื่อเพราะมีใครมาบอกให้เชื่อ อย่าได้ศรัทธาแบบไม่ลืมหูลืมตาทั้งที่ยังไม่ได้พิสูจน์ด้วยตนเอง

ผ่านไปเจอ...สะดุดตา “รูปปั้นไก่” แก้บนเรียงรายนับได้หลายร้อยตัว เต็มพื้นที่ด้านทางเข้าในรั้วมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร ถนนเชื่อมสัมพันธ์ แขวงกระทุ่มราย เขตหนองจอก กรุงเทพมหานคร ค่อนข้างสะดุดใจเพราะสถานศึกษาแห่งนี้ดีเด่นดังเรื่องคณะวิศวกรรมฯ และเทคโนโลยีล้ำหน้าต่างๆ เรียกว่าขั้นเทพดิจิทัลไทยแลนด์

...

ถือเป็นความขัดแย้งอันสวนทางกันยิ่งนัก วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีกับความเชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็นพิสูจน์ไม่ได้...ยิ่งได้ยินได้ฟังมาว่ารูปปั้นไก่ที่นำมาแก้บนนี้มาจากนักศึกษาคณะวิศวะฯน่าจะ 100 เปอร์เซ็นต์ก็ว่าได้ ด้วยมีความเชื่อศรัทธากันว่าถ้ามาบนบานศาลกล่าวจะทำโปรเจกต์จบได้สำเร็จลุล่วงสมใจนึก...ยิ่งน่าแปลกใจ

ไถ่ถามตามหาความจริงก็พบว่า ศรัทธาความเชื่อที่ว่านี้...ไม่มีที่มาที่ไปชัดเจนเท่าใดนัก รู้กันแต่เพียงว่ามีการบอกกันปากต่อปาก รุ่นพี่...รุ่นน้อง จากรุ่น...สู่รุ่นมาอย่างนี้นับตั้งแต่แรกเริ่มพร้อมๆกับเปิดมหาวิทยาลัยแล้ว

“...จะจบการศึกษา เด็กวิศวะฯต้องทำโครงงานให้ผ่าน คนที่มาบนก็เพื่อต้องการให้ผ่าน เรียนจบสมหวังเพราะที่นี่ขึ้นชื่อว่า...โปรเจกต์มหาโหดมาก พอสำเร็จก็นำมาแก้บน...อย่างที่พอจะรู้ๆกันมาบ้างแล้วว่า หนองจอกเป็นเมืองไก่ชน...อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ผู้บนนำของแก้บนรูปปั้นไก่ชนมาถวายตรงที่ศาลแห่งนี้”

OOOO

เรื่องราวความเชื่อเกี่ยวกับการแก้บนด้วยรูปปั้น “ไก่ชน” ให้นึกย้อนไปถึงกระแสศรัทธาที่เกิดขึ้นที่...พระสถูปเจดีย์ “สมเด็จพระนเรศวรมหาราชานุสรณ์” ตำบลเมืองงาย อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ที่ผู้คนนำมาเป็นเครื่องสักการะ ที่เป็นผลมาจากการที่ผู้คนที่เข้ามากราบสักการบูชานั้นสมหวังตั้งใจ ดั่งใจประสงค์

...

รูปปั้น “ไก่ชน” น้อยใหญ่ทั้งด้านนอกติดถนน อีกทั้งด้านในใกล้ตัวสถูปนั้น คะเนจากสายตามีมากมายนัก...เรียงรายเป็นทิวแถวรายรอบพระสถูปทุกทิศทางอยู่ทั่วไป ด้วยมีความเชื่อกันว่า “พระองค์ท่าน” รักการ “ชนไก่” ดังนั้นเมื่อขอพรสำเร็จ สมหวังแล้วก็จะต้องกลับมาถวายรูปปั้น “ไก่ชน”

ว่ากันว่า...ใครจะมาขออะไรนั้น ไม่เฉพาะเจาะจงว่าเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หากแต่ “ขอได้ทุกอย่าง” แต่จะได้หรือไม่ได้ สำเร็จเห็นผลประการใดนั้น ก็คงสุดแล้วแต่บาปบุญผลกรรมของแต่ละท่านนั่นเอง

“ความเชื่อ” ของ “มนุษย์” คือการยอมรับว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นจริง บางครั้งความเชื่อก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องมีเหตุผลประกอบ อย่างที่เราๆท่านๆ หลายคนเชื่อในเรื่องฤกษ์ยาม วันเวลาตกฟาก เชื่อเรื่องเครื่องรางของขลัง ปาฏิหาริย์สิ่งยึดเหนี่ยวที่ให้คุณแก่ตนได้

อำนาจลี้ลับ พลังเหนือธรรมชาติ อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ต่างๆที่มีอยู่มากมาย ทั้งที่ได้เจอกับตัวเองในแบบที่อธิบายไม่ได้ รวมถึงเรื่องเล่าต่างๆอีกมากมายที่มีถ้วนทั่วทุกภูมิภาคทั่วประเทศไทย

จำกัดความตามข้อมูลวิชาการ ให้ความหมายเกี่ยวกับ “ความเชื่อ” ไว้ 2 อย่างด้วยกันคือ หนึ่ง...การยอมรับข้อเสนอข้อใดข้อหนึ่งได้ว่าเป็นความจริง หมายถึงว่าความเชื่อนี้อาจจะมีพื้นฐานจากหลักฐานข้อเท็จจริงที่เชื่อถือได้ หรือมีพื้นจากการนึกรู้เอาเอง หรือจากความเข้าใจที่ไขว้เขวของตนเองก็เป็นได้

ความเชื่อ...จึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับความจริงเสมอไป เมื่อเป็นเช่นนั้นคนเราก็อาจจะกระทำอะไรที่จริงจัง บ้าคลั่งได้ด้วยความเชื่อที่ผิดๆ เท่าๆกับที่ทำด้วยความเชื่อที่ถูกต้อง

...

อาจจะกล่าวได้อีกว่า...การทำอะไรก็ตามที่ใช้สติปัญญา ต้องอาศัยความเชื่อด้วยเสมอ แต่สติอาจใช้ทดสอบความเชื่อตรวจสอบความถูกต้องของความเชื่อได้

สอง...การยอมรับความเป็นจริงโดยที่ยังไม่ได้พิสูจน์ด้วยวิธีการของวิทยาศาสตร์ ความเชื่อที่ว่านี้ก็คือการยอมรับต่างๆว่าเป็นจริง มีอยู่จริง...โดยอาจส่งทั้งผลดี ผลร้ายขึ้นมาได้เช่นกัน

“ศรัทธา” นำมาซึ่ง “ปาฏิหาริย์” เชื่อไม่เชื่ออย่างไรโปรดอย่าได้ “ลบหลู่”.

รัก-ยม