วันที่ 10 ก.ย. ของทุกปี เป็นวันป้องกันการฆ่าตัวตายโลก โดยปัญหาฆ่าตัวตายเป็นความรุนแรงทางด้านสุขภาพจิตและจิตเวช และจากข้อมูลองค์การอนามัยโลก พบว่าประชากรในโลกกว่า 8 แสนคน เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายทุกปี
ส่วนสถานการณ์การฆ่าตัวตายในประเทศไทย เป็นสิ่งที่น่าห่วงเช่นกัน โดยเฉพาะการรมควันฆ่าตัวตายซึ่งเกิดขึ้นต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ทำให้กรมสุขภาพจิตแสดงความกังวลต่อการเผยแพร่ข่าวของสื่อมวลชน อาจทำให้เกิดพฤติกรรมเลียนแบบ หลังเสพข่าวที่บรรยายถึงวิธีการโดยละเอียดจากสื่อซ้ำๆ บ่อยๆ
ในขณะที่ภาพรวมอัตราการฆ่าตัวตายของไทยทั้งประเทศ เป็นตัวเลขที่น่าตกใจเป็นอย่างมาก เมื่อ นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมสุขภาพจิต ออกมาระบุว่า อยู่ที่ 6.34 ต่อประชากรหนึ่งแสนคน โดยปี 2561 มีคนไทยฆ่าตัวตายสำเร็จ 4,137 คน แบ่งเป็นชาย 3,327 คน คิดเป็น 80% และเป็นหญิง 810 คน คิดเป็น 20% และพบว่า วัยแรงงาน ช่วงอายุ 25-59 ปี เป็นวัยที่ฆ่าตัวตายสำเร็จสูงสุด 74.7% รองลงมาเป็นวัยสูงอายุ ตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป 22.1% และวัยเด็ก อายุ 10-24 ปี คิดเป็น 3.2%
หากแยกเป็นรายเดือนและรายวันพบว่า จำนวนผู้ที่ทำร้ายตนเองจนเสียชีวิต เฉลี่ยอยู่ที่ 345 รายต่อเดือน และมีผู้ฆ่าตัวตายสำเร็จ เฉลี่ยวันละประมาณ 11-12 ราย โดยปัจจัยของการฆ่าตัวตายสำเร็จ ได้แก่ ปัญหาด้านความสัมพันธ์ ซึ่งเป็นสาเหตุส่วนใหญ่ ได้แก่ ความน้อยใจ ถูกดุด่าตำหนิ การทะเลาะกับคนใกล้ชิด 48.7% ความรัก หึงหวง 22.9% และต้องการคนใส่ใจ ดูแล 8.36% ส่วนปัญหาด้านการใช้สุราและยาเสพติด พบว่า มีปัญหาการดื่มสุรา 19.6% มีอาการมึนเมาระหว่างทำร้ายตนเอง 6% และปัญหาด้านการเจ็บป่วยทางจิต พบภาวะโรคจิต 7.45% โรคซึมเศร้า 6.54% และมีประวัติการทำร้ายตนเองซ้ำ 12%
...
สำหรับวิธีป้องกัน ขอให้บุคคลรอบข้าง ครอบครัว หรือคนใกล้ชิด คอยสังเกตสัญญาณเตือน หากพบว่ามีอาการเศร้า เบื่อ เซ็ง แยกตัว คิดวนเวียน นอนไม่หลับ มองโลกในแง่ลบ หรือโพสต์ข้อความเชิงสั่งเสีย ไม่อยากมีชีวิตอยู่ หมดหวังในชีวิต ซึ่งเป็นอาการบ่งบอกของโรคซึมเศร้าและเป็นสัญญาณเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย ให้รีบเข้าไปพูดคุยช่วยเหลือพร้อมรับฟัง ตามหลัก 3 ส.
- สอดส่อง มองหา ผู้ที่มีความคิดทำร้ายตัวเอง หรือผู้ที่มีการส่งสัญญาณเตือนในการฆ่าตัวตาย
- ใส่ใจรับฟังด้วยความเข้าใจ ชวนพูดคุย ให้ระบายความรู้สึก ไม่ตำหนิหรือวิจารณ์ โดยการรับฟังอย่างใส่ใจนั้นเป็นวิธีการที่สำคัญมีประสิทธิภาพมาก
- ส่งต่อเชื่อมโยง เช่น การแนะนำให้โทรปรึกษาสายด่วนสุขภาพจิต 1323 ตลอด 24 ชั่วโมง รวมถึงแอปพลิเคชันสบายใจ (Sabaijai) แนะนำให้ไปพบบุคลากรสาธารณสุขหรือช่วยเหลือพาส่งโรงพยาบาลใกล้บ้าน.