ผ่านมา 9 ปีแล้ว คดี นางสาวแพรวา หรือ อรชร เทพหัสดิน ณ อยุธยา ขับรถยนต์พุ่งเข้าชนท้ายรถตู้สาธารณะ บนทางยกระดับอุตราภิมุข ซึ่งบรรทุกผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาและบุคลากรของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 9 คน บาดเจ็บ 5 คน เหตุเกิดเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2553
คนส่วนใหญ่คิดว่าคดีน่าจะจบเรื่องน่าจะเงียบไป มีการชดใช้เยียวยาผู้สูญเสียครบถ้วน
แต่เหมือนหนังคนละม้วน
ล่าสุด ศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์รวมค่าสินไหมทดแทนทุกคดีเป็นเงินทั้งสิ้น 25,261,164 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันทำละเมิด
ในส่วนของคดีอาญานั้นคดีถึงที่สุดแล้ว ศาลสั่งลงโทษจำคุกจำเลย แต่ก็ยังให้รอการลงโทษไว้ 4 ปี ให้ทำงานบริการสังคมและได้ทำงานบริการตามข้อกำหนดครบแล้ว
แต่ในเรื่องของการเยียวยาผู้เสียหาย ทางญาติๆของผู้เสียชีวิตบอกว่ายังไม่ได้รับการติดต่อใดๆทั้งสิ้นจากทางฝ่ายนางสาวแพรวา ผู้ต้องหาที่ขับรถชนคนตายและคนที่ได้รับบาดเจ็บ
ผู้เสียหายไม่เคยได้รับการเยียวยาจากผู้ต้องหาเลยตลอดเวลากว่า 9 ปี ตั้งแต่มีเหตุเกิดขึ้น
เป็นข่าวออกมา เป็นเรื่องที่สังคมรับไม่ได้ คนที่สูญเสียไม่ได้รับการชดใช้ โดยเฉพาะกรณีของ นางถวิล เช้าเที่ยง อายุ 71 ปี แม่ของ ดร.ศาสตรา เช้าเที่ยง หรือ ดร.เป็ด นักวิทยาศาสตร์ประจำ สวทช. เพิ่งจบการศึกษาปริญญาเอกจากประเทศอังกฤษ ที่เป็นหนึ่งในผู้เสียชีวิต 9 ศพ ที่ต้องขายพวงมาลัยเลี้ยงชีวิตอยู่ในตลาดเทศบาลเมือง อ.เมือง จ.ราชบุรี
...
บอกว่า ตั้งแต่เกิดเหตุคู่กรณีมาร่วมงานศพเพียงวันเดียว หลังจากนั้นไม่ได้ติดต่อมาอีกเลย
ลองคิดกันดูหากลูกของนางถวิลยังอยู่ เขาจะมีความเป็นอยู่ที่ดีขนาดไหน การที่ต้องมาเสียลูกชายหัวแก้วหัวแหวน เพราะความประมาทของคนขับบนท้องถนน
มันทุกข์ทรมานมากพอแล้ว
แต่ต้องมาทุกข์ทรมานกว่าอีก คือ ความลำบากของการขาดเสาหลักของครอบครัวไป ไม่มีคนเลี้ยงดู มิหนำซ้ำคู่กรณีกลับไม่เคยมาดูแลสอบถามความเป็นอยู่ มาเยียวยาในสิ่งที่เขาสูญเสียไปเลย
พอสังคมกระแสโซเชียลเริ่มตามเรื่อง เริ่มกดดัน คู่กรณีค่อยเริ่มขยับออกมารับผิดชอบ
เรื่องนี้เป็นตัวอย่างที่ดี ใครทำอะไรไว้ มักจะได้รับผลตามสิ่งที่ทำ ไม่มีใครจะหนีความผิดได้
กระแสโซเชียลจะเหมือนเงาตามตัวกับสิ่งที่ทำลงไป.
“เพลิงพยัคฆ์”
pluengpayak@thairath.co.th