รมว.ยธ.เตรียมถกคดี "แพรวา" หาเงินเยียวยาชดใช้เหยื่อ 23 ก.ค.นี้ รองปลัด ยธ.เผยที่ดิน 21 ไร่ ที่ปราณบุรี ไม่ทับซ้อนพื้นที่อุทยานฯ มั่นใจไม่เกิน 1 ปี ขายได้แน่นอน ปัดไม่รู้กลุ่มเศรษฐี-นักการเมือง สนใจซื้อ
เมื่อวันที่ 21 ก.ค.62 นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะโฆษกกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงความคืบหน้าคดี น.ส.แพรวา ว่า เวลา 10.00 น. วันที่ 23 ก.ค.นี้ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.กระทรวงยุติธรรม พร้อมทนายความศูนย์นิติศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จะประชุมหารือร่วมกัน พร้อมแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ ถึงไทม์ไลน์และขั้นตอนต่างๆ เพื่อช่วยเหลือคดีนี้จนได้เงินไปชดใช้เยียวยาเหยื่อให้ทราบ ทุกอย่างจะชัดเจนครบถ้วนมากขึ้น
"ส่วนเรื่องตรวจที่ดิน 21 ไร่ ปราณบุรี อ.สามร้อยยอด จ.ประจวบคีรีขันธ์ ของครอบครัว น.ส.แพรวา นั้น เบื้องต้นได้รับรายงานจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ว่า ที่ดินแปลงดังกล่าวไม่มีคนร้อง หรือให้ดีเอสไอเข้าไปตรวจสอบใดๆว่า ทับซ้อนกับเขตอุทยานแห่งชาติสามร้อยยอด นอกจากนี้ได้รับรายงานจากกรมบังคับคดีว่า หากมีการนำที่ดินดังกล่าวเข้ากระบวนการการขายทอดตลาด มั่นใจอย่างช้าภายใน 6 เดือน หรืออย่างเร็วไม่เกิน 1 ปี ขายได้แน่นอน เพื่อนำเงินไปชดใช้เหยื่อ ขณะที่มีกระแสว่ามีกลุ่มเศรษฐีและกลุ่มนักการเมืองสนใจมาซื้อที่ดิน 21 ไร่ ปราณบุรีนั้น ตนไม่ทราบ แต่หากนำที่ดินเข้ากระบวนการขายทอดตลาดจะมั่นใจแน่นอน เพราะเป็นกระบวนการของรัฐ และมีขั้นตอนและระเบียบอย่างเป็นทางการชัดเจน หากมีคนซื้อในกระบวนการขายทอดตลาดกรมบังคับคดี เงินทั้งหมดจะนำไปชดใช้ได้แน่นอน" นายธวัชชัย กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 18 ก.ค.ที่ผ่านมา ศูนย์นิติศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ "http://www.tulawcenter.org" ระบุว่า สรุปข้อเท็จจริงคดีอุบัติเหตุบนทางด่วนโทลล์เวย์ ซึ่งศูนย์นิติศาสตร์เป็นทนายยื่นฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เสียหาย ดังนี้
...
1.เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างไร
เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2553 นางสาวแพรวา หรืออรชร (จำเลย) ขับรถยนต์พุ่งเข้าชนท้ายรถตู้สาธารณะ บนทางยกระดับอุตราภิมุข ซึ่งบรรทุกผู้โดยสารจำนวน 14 คน โดยส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาและบุคลากรของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นเหตุให้รถตู้คันดังกล่าวชนขอบทางยกระดับอย่างแรง ส่งผลให้ผู้โดยสารได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก
2.ผู้เสียหายมีกี่คน
มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 9 คน บาดเจ็บ 5 คน
3.ศูนย์นิติศาสตร์ เข้าไปช่วยเหลือผู้เสียหายได้อย่างไร
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้มีคำสั่งให้ศูนย์นิติศาสตร์เข้าช่วยเหลือผู้เสียหายในคดีดังกล่าว โดยศูนย์นิติศาสตร์ได้จัดทนายความดำเนินการยื่นฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เสียหาย รวม 13 คดี และเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการในคดีอาญา
4.คดีที่ฟ้องมีกี่คดี โจทก์กี่คน จำเลยกี่คน
คดีที่ฟ้องมีทั้งคดีอาญาและคดีแพ่ง ดังนี้
คดีอาญา พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้อง จำเลย 1 คน คือนางสาวแพรวา คดีแพ่ง โจทก์ 28 คน (13 คดี) จำเลย 7 คน ได้แก่
- จำเลยที่ 1 นางสาวแพรวาฯ
- จำเลยที่ 2 บิดานางสาวแพรวาฯ
- จำเลยที่ 3 มารดานางสาวแพรวาฯ
- จำเลยที่ 4 ผู้ให้ยืมรถ
- จำเลยที่ 5 สามีของจำเลยที่ 6 ซึ่งเป็นผู้นำรถไปฝากไว้กับจำเลยที่ 4
- จำเลยที่ 6 เจ้าของรถ
- จำเลยที่ 7 บริษัทประกันภัยซึ่งจำเลยที่ 6 ทำประกันภัยรถยนต์ไว้
5.ในคดีอาญา ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดอย่างไร
คดีอาญาถึงที่สุดในชั้นอุทธรณ์ โดยศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 2 ปี ให้รอลงโทษเป็นเวลา 4 ปี กับให้ทำงานบริการสังคมดูแลผู้ป่วยจากอุบัติเหตุ และห้ามขับรถยนต์จนกว่าจะมีอายุครบ 25 ปีบริบูรณ์
6.ในคดีแพ่ง ผู้เสียหายฟ้องอะไรบ้าง
โจทก์ทั้ง 28 คนฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ 1 ถึง 7 เป็นเงินจำนวน 113,077,510 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ต่อมา จำเลยที่ 7 บริษัทนวกิจประกันภัย จำกัด (มหาชน) ซึ่งจำเลยที่ 5 และที่ 6 ผู้ครอบครองรถยนต์และได้ทำประกันไว้กับจำเลยที่ 7 ได้จ่ายค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์เต็มจำนวนตามกรมธรรม์ประกันภัย โจทก์ทั้ง 28 คนจึงถอนฟ้องจำเลยที่ 5 ถึง 7 และศาลได้มีคำสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
7.ศาลชั้นต้นตัดสินอย่างไร
ศาลชั้นต้นพิพากษา ให้จำเลยที่ 1 ถึง 3 จึงต้องร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ทั้ง 28 คน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 26,061,137 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันทำละเมิด และให้ยกฟ้องจำเลยที่ 4
8.ใครอุทธรณ์คำตัดสินศาลชั้นต้นบ้าง
โจทก์ที่ 5 และที่ 11 ยื่นอุทธรณ์ขอให้จำเลยที่ 4 ร่วมรับผิดด้วย และจำเลยที่ 1-3 ยื่นอุทธรณ์
9.ศาลอุทธรณ์ตัดสินอย่างไร
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ร่วมรับผิดให้แก่โจทก์ทั้ง 13 คดี และให้จำเลยที่ 4 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ต่อโจทก์ที่ 5 และที่ 11 ด้วย รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 21,626,925 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันทำละเมิด
10.ใครยื่นฎีกา
ทั้งโจทก์และจำเลยยื่นฎีกา โดยโจทก์ขอให้ศาลมีคำพิพากษาตามศาลชั้นต้น ส่วนจำเลยขอให้ศาลปรับลดค่าเสียหายลง
11.ศาลฎีกาตัดสินอย่างไร
ศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ร่วมกันชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์ในแต่ละคดี และให้จำเลยที่ 4 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ต่อโจทก์ที่ 5 และที่ 11 ด้วย ซึ่งรวมค่าสินไหมทดแทนทุกคดีเป็นเงินทั้งสิ้น 25,261,164 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันทำละเมิด
...
12.ตอนนี้คดีอยู่ขั้นตอนไหน
ปัจจุบันอยู่ระหว่างส่งคำบังคับให้แก่จำเลยทั้ง 4 เพื่อให้ชำระหนี้ตามคำพิพากษาภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำบังคับ หากไม่ชำระภายในระยะเวลาที่กำหนดจะเข้าสู่กระบวนการบังคับคดี กล่าวคือ สืบค้นทรัพย์สินของจำเลยเพื่อยึด หรืออายัดทรัพย์สินเพื่อนำออกมาขายทอดตลาดแล้วนำเงินมาชดใช้แก่โจทก์ต่อไป
13.กรณีนี้ผ่านมาเกือบ 9 ปีแล้ว หากจำเลยทั้ง 4 ได้โอนทรัพย์สินของตนไปยังบุคคลอื่น แนวทางการบังคับคดีจะทำอย่างไร
หากในระหว่างเวลาดำเนินคดีทั้งคดีแพ่งและคดีอาญาจำเลยทั้ง 4 มีการจำหน่าย จ่าย โอนทรัพย์สินไปยังบุคคลอื่น โดยทุจริตโดยรู้อยู่แล้วว่าจะเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบ หรือ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกบังคับคดี ย่อมมีความผิดอาญาฐานโกงเจ้าหนี้ ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และสามารถร้องขอต่อศาลให้เพิกถอนนิติกรรมนั้นๆ ให้กลับมาเป็นชื่อของจำเลย เพื่อให้โจทก์สามารถบังคับคดีต่อไปได้
14.ขั้นตอนการบังคับคดีมีกำหนดระยะเวลาอย่างไร
โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาต้องร้องขอต่อศาลให้มีการบังคับคดีภายใน 10 ปี นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา กล่าวคือ โจทก์จะต้องดำเนินการออกหมายบังคับคดีเพื่อยึดหรืออายัดทรัพย์สินของจำเลย และเมื่อหมายบังคับคดีถูกส่งไปยังกรมบังคับคดี โจทก์มีหน้าที่ต้องไปตั้งสำนวนต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อขอให้ทำการยึดหรืออายัดและขายทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา โดยเจ้าหนี้จะต้องแถลงรายการทรัพย์สินต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีภายใน 10 ปี.