ไม่ใช่เพียงแค่ประวัติศาสตร์ทางการเมือง เหตุการณ์สำคัญระดับประเทศ และเรื่องราวของพระบรมวงศานุวงศ์ รวมถึงโบราณสถานที่ตั้งอยู่ในจังหวัดสงขลา ซึ่งทางทีมข่าวเจาะประเด็นไทยรัฐออนไลน์ ได้นำเสนอไปแล้ว 2 ตอนก่อนหน้านี้ ทว่า "เมืองสงขลา" ยังเป็นจังหวัดที่มีความโดดเด่นในภาคใต้ เป็นเมือง 2 ทะเล ที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ 

อ่านเรื่องราวที่เกี่ยวข้อง  

"สงขลา" เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคใต้ตอนล่าง มีประชากรมากเป็นอันดับ 2 ของภาคใต้ (รองจากนครศรีธรรมราช) และมีขนาดพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของภาคใต้ (รองจากสุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช) มีจังหวัดที่อยู่ติดกันได้แก่ นครศรีธรรมราช พัทลุง ปัตตานี ยะลา สตูล และยังมีอาณาเขตติดต่อกับรัฐไทรบุรีและรัฐปะลิสของประเทศมาเลเซีย

...

"ทำไมสงขลาต้องเป็นเมืองมรดกโลก? ... ก็ด้วยเหตุว่าที่เมืองสงขลามีประวัติความเป็นมากว่า 400 ปี อีกทั้งแหลมมลายูปลายด้ามขวานสุดของประเทศไทยนั้นมีเมืองท่าที่สำคัญของแหลมมลายูที่ปรากฏในแผ่นที่โลกโบราณ ในฝั่งตะวันตกมีสองเมืองท่าใหญ่ คือมะละกาและปีนัง ส่วนในฝั่งตะวันออกก็มีสองเมืองท่าคือปัตตานีและสงขลา ในอดีตเมืองท่าสงขลา เขาเรียกเมืองว่าเมือง "ซิงโกล่า" เป็นเมืองท่าสำคัญของฝั่งตะวันออก เป็นจุดพักเรือรอลมมรสุม จุดซ่อมเรือและขนถ่ายสินค้าเป็นจุดเปลี่ยนผ่านของการเดินทางที่มาจากยุโรปก่อนจะไปต่อยังประเทศจีน" อ.สืบสกุล ศรีสุข” ผู้อำนวยการภาคีคนรักเมืองสงขลาสมาคม 

อ.สืบสกุล บอกด้วยว่า จังหวัดสงขลา มีร่องรอยประวัติศาสตร์ ที่มีความสำคัญไม่ได้ต่างไปจากเมืองมรดกโลกคือ ปีนังและมะละกา ทว่ายังมีความเป็นเมืองโบราณหลากหลายวัฒนธรรม ซึ่งยุคสมัยหนึ่งเคยเป็นเมืองที่มีมุสลิมเป็นเจ้าเมือง ซึ่งเจ้าเมืองคนแรกในขณะนั้นคือ "ดาโต๊ะโมกอล" ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองโดยสมเด็จพระเจ้าเอกาทศรถ พระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา เมื่อประมาณ 400 ปี ที่ผ่านมา

"นอกจากนี้ ยังมีเจ้าเมืองที่เป็นมุสลิมครอบครองเมืองต่อมาอีก 2 คน คือ "สุลต่านสุไลมาน" และ "มุสตาฟา" จากนั้นต่อมา ยังมีเจ้าเมืองเป็นคนจีน ปกครองเมืองต่อกันมาถึง 8 เจ้าเมือง กระทั่งผลัดเปลี่ยนย้ายเมืองข้ามทะเลสาบมาเป็นเมืองสงขลา ยุคสมัยที่ 3 ซึ่งส่วนกลาง มีคนไทยเป็นเจ้าเมือง เริ่มต้นด้วยเจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) เหตุนี้เองเมืองสงขลา จึงเป็นเมืองที่หลากหลายไปด้วยวัฒนธรรม แล้วยังมีร่องรอยของเมืองเก่าเช่นป้อมปืน กำแพงเมือง ในทุกยุคสมัย ให้เห็นอยู่หลายพื้นที่"

...

...

อ.สืบสกุล ให้ข้อมูลด้วยว่า ปัจจุบันเมืองท่าสำคัญในฝั่งตะวันตกคือ "ปีนัง" และ "มะละกา" ได้เป็นเมืองมรดกโลกแล้ว ซึ่งทั้งสองเมือง มีชายแดนประเทศไทยติดกับด่านสะเดา จ.สงขลา มีระยะทางห่างกันร้อยกิโลเมตรกว่าๆ แต่ทว่านับระยะทางจากเมืองเก่า ประมาณ 220 กิโลเมตร ที่สำคัญสงขลามีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาเยือน รวมทั้งบางส่วนหลั่งไหลมาจาก เมืองมะละกาและปีนัง ปัจจุบันเมืองปีนัง มีนักท่องเที่ยวเข้ามาปีละกว่า 12 ล้านคน ในอนาคตหากสงขลาเป็นเมืองมรดกโลก นักท่องเที่ยวจากปีนัง ก็จะเดินทางมาสงขลาจำนวนเพิ่มขึ้นกว่าเดิม  

"ด้วยเหตุผลเหล่านี้ ถ้าประเทศไทยได้บูรณะเมืองสงขลาในแต่ละยุคสมัย ปลุกความสวยงามให้มีชีวิตชีวา พร้อมส่งเรื่องราวของ จังสงขลา เพื่อขึ้นทะเบียนเป็นเมืองมรดกโลก ในหัวเรื่อง "เมืองท่าฝั่งตะวันออกของแหลมมลายู ที่อยู่กันหลากหลายด้วยชาติพันธุ์ หลากหลายวัฒนธรรม" ที่ผ่านมานักวิชาการมรดกโลก ต่างพากันลงพื้นที่มาดูเมืองสงขลา แล้วสรุปกันว่ามีโอกาสที่จะเป็นไปได้สูงมาก ซึ่งแน่นอนว่าในอนาคตข้างหน้า เมื่อจังหวัดสงขลา ได้ก้าวขึ้นเป็นเมืองมรดกโลก จะมีนักท่องเที่ยวมาเยือนอย่างไม่ขาดสาย เมื่อเดินทางมาเที่ยวปีนังแล้ว สามารถข้ามมาสงขลา ได้อย่างสะดวกสบาย"

"สงขลาจะกลายเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวของจังหวัดชายแดนใต้ ที่จะกระจายนักท่องเที่ยวไปยังจังหวัดใกล้เคียง เช่น พัทลุง สตูล นครศรีธรรมราช ปัตตานี ยะลา ฯลฯ ทั้งหมดนี้เพื่อเป็นแนวทางส่งเสริมเศรษฐกิจด้วยเม็ดเงินมหาศาลจากการท่องเที่ยว และเผยแพร่วัฒนธรรม จังหวัดชายแดนใต้อีกด้วย และทั่งหมดนี้คือเหตุผลที่ว่าทำไม รัฐบาลไทย ควรสนับสนุนพัฒนา และนำเมืองสงขลา ก้าวสู่มรดกโลก" อ.สืบสกุล กล่าวทิ้งท้าย 

...