สาววัย 31 บุก สธ. ร้อง สธ.หลังโรงพยาบาลทุ่งสง ตรวจเลือดผิดระบุตัวเองกับลูก 2 คนติดเอชไอวี ลูกถูกเพื่อนล้อแม่เป็นเอดส์ สังคมรังเกียจ ต้องหนีไปอยู่ที่อื่นกว่า 5 ปี จนมารู้ภายหลังไม่ได้ติดเชื้อ

เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 3 ก.ค.2562 ที่กระทรวงสาธารณสุข ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ทนายความในฐานะ ประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม พร้อมด้วย นางมณีรัตน์ คงหอม อายุ 31 ปี ชาว จ.นครศรีธรรมราช ผู้เสียหายกรณีโรงพยาบาลทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช ตรวจผิดระบุว่าติดเชื้อเอชไอวี (HIV) จนต้องใช้ชีวิตด้วยความยากลำบากนานกว่า 5 ปี ได้เดินทางมาร้องขอความเป็นธรรมและขอค่าชดเชย กับ นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมี นพ.พิทักษ์พล บุญยมาลิก ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขเขต 11 เป็นตัวแทนรับมอบหนังสือร้องเรียน

นางมณีรัตน์ กล่าวว่า การมาในครั้งนี้ต้องการมาขอความเป็นธรรม เนื่องจากโรงพยาบาลทุ่งสง ตรวจผิดพลาดระบุว่าตนติดเชื้อเอชไอวี ทำให้สังคมเข้าใจตนและลูกผิด คิดว่าติดเชื้อเอชไอวีนานถึง 5 ปี และลูกทั้ง 2 คน ซึ่งเป็นลูกคนที่ 4 และ 5 ต้องรับยาต้านไวรัสเอชไอวีมาโดยตลอด เพราะแพทย์ระบุว่าพบเชื้อเอชไอวีในเลือด ส่วนตนไม่ได้กินยาต้านไวรัส เนื่องจากท้อแท้ไม่อยากมีชีวิตอยู่ กระทั่งตนย้ายหนีมาอยู่ที่ จ.พิษณุโลก และคลอดลูกคนที่ 6 กับสามีคนที่ 2 ที่ โรงพยาบาลชาติตระการ จ.พิษณุโลก ระหว่างตั้งครรภ์ ก็ไม่ได้มีการฝากครรภ์ และเมื่อคลอดลูกถึงรู้ว่าลูกไม่ติดเชื้อเอชไอวี เช่นเดียวกับตนที่มีการตรวจยืนยันถึง 3 ครั้งก็ไม่พบเชื้อเอชไอวี ดังนั้นจึงนำลูกอีก 2 คน คือ คนที่ 4 และคนที่ 5 มาตรวจก็ไม่พบเชื้อเอชไอวีเช่นกัน 

“ไม่รู้ว่ายาต้านไวรัสเอชไอวีจะมีผลกระทบหรือผลข้างเคียงในระยะยาวกับลูกหรือไม่ แต่ลูกทั้ง 2 คน ที่กินยาต้านไวรัสก็แข็งแรงดี ที่ผ่านมาชีวิตลำบาก เพราะถูกตีตราจากสังคมรอบข้าง ว่าป่วยเอดส์ ไม่กล้าไปรับลูกคนโตที่โรงเรียน เพราะเคยไปรับลูกที่โรงเรียนและถูกเพื่อนล้อว่าแม่เป็นเอดส์มารับแล้ว ลูกจึงไม่อยากให้ไปรับอีก ขณะเดียวกัน ต้องจ้างคนมาเลี้ยงลูก เพราะต้องทำงานหาเงินเอง ซึ่งคนเลี้ยงก็รังเกียจลูกทั้ง 2 คนรวมถึงคนข้างบ้านก็ไม่ให้ลูกมาเล่นด้วย” ผู้เสียหาย กล่าว 

...

นางมณีรัตน์ กล่าวว่า อยากเรียกร้องขอความเป็นธรรม จากกระทรวงสาธารณสุข เพราะอยากอยู่ในสังคม อยากให้คนรอบข้างรู้ว่าตนและครอบครัวไม่มีใครป่วย หรือติดเชื้อเอชไอวี นอกจากนี้อยากให้ถอดชื่อตนและลูก ออกจากบัญชีผู้ติดเชื้อเอชไอวี ขณะเดียวต้องการให้โรงพยาบาลทุ่งสงแสดงความรับผิดชอบ หลังจากที่ผ่านมาโรงพยาบาลระบุว่าจะจ่ายเงินเยียวยา 50,000 บาท แต่ก็ยังไม่ได้ จนกระทั่งมาร้องศูนย์ดำรงธรรม เรื่องก็เงียบ จึงได้มาร้องต่อสภาทนายความ และไปเรียกร้องขอคำชี้แจงจากโรงพยาบาลทุ่งสง ซึ่งได้คำตอบว่าเป็นความผิดพลาดของเครื่องมือในการตรวจไม่ใช่แพทย์ หากเป็นเช่นนั้นจริงก็คิดว่าน่าจะมีคนที่เป็นลักษณะคล้ายตนอีกในพื้นที่ จึงอยากให้มีการตรวจสอบเพิ่มเติมด้วย


ด้าน นพ.พิทักษ์พล กล่าวว่า ขณะนี้ ได้ประสานไปยัง รพ.ทุ่งสง ขอให้ส่งข้อมูลมาให้กระทรวงสาธารณสุข คาดว่าจะรู้ผลในเร็วๆ นี้ แต่เบื้องต้นจะไม่ดูว่าใครถูกผิด และจะให้การดูแล และเยียวยาตามมาตรา 41 ของ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 ซึ่งจะมีคณะกรรมการพิจารณาว่าเข้าข่ายหรือไม่ อย่างไรก็ตามกระทรวงจะเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด ส่วนเรื่องมาตรฐานการตรวจนั้นทั้งประเทศใช้มาตรฐานการตรวจเหมือนกันหมด ก็จะต้องดูในรายละเอียดอีกครั้งว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นจากอะไร.