ศาลยุติธรรมจัดสัมมนาสื่อ เผยแนวคิดศาลจราจร ตามหลักการไม่ต้องการศาลเพิ่ม แต่เพิ่มแผนกจราจร แต่เชื่อว่าไม่น่าจะทัน ขณะที่ศาลนัดพิพากษาเสี่ยเบนซ์ชนรองตี๋ 31 ก.ค.นี้

เมื่อวันที่ 30 มิ.ย.62 ที่โรงแรม Oakwood ศรีราชา นายสราวุธ เบญจกุล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม เป็นประธานเปิดงานสัมมนาสื่อมวลชนสัมพันธ์ประจำศาลยุติธรรม ระหว่างวันที่ 29-30 มิ.ย.นี้ โดยนายสราวุธกล่าวตอบคำถามสื่อแนวคิดการตั้งศาลจราจรว่า ตามที่ตนเป็น 1 ในคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายด้านกระบวนการยุติธรรมซึ่งมีนายอัชพร จารุจินดา เป็นประธานนั้น ตามแผนปฏิรูปเสนอออกเป็นแค่ร่างกฎหมาย "วิธีพิจารณาคดีจราจร" ซึ่งเป็นตัวเดียวกับศาลยุติธรรมเคยยกร่างไว้ แล้วเมื่อมีสภาปฏิรูปฯ ขึ้นจึงนำร่างนั้นมาปัดฝุ่นใหม่ และเมื่อส่งเรื่องกลับมาสำนักงานศาลยุติธรรม ตามขั้นตอนการพิจารณาร่างกฎหมาย ต้องเสนอเป็นวาระให้คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม (ก.บ.ศ.) พิจารณาโดยตนนำเสนอวาระต่อ ก.บ.ศ.แล้วว่าจะเห็นชอบด้วยลักษณะหรือไม่ แต่โดยหลักการแล้วคือเราไม่ต้องการศาลเพิ่ม โดยให้ศาลยุติธรรมที่มีอยู่แล้ว เช่น มีศาลแขวงใช้ศาลแขวง โดยคิดว่าจะให้มีแผนกจราจร ใช้ "ร่าง พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีจราจร" ส่วนนี้คือสิ่งที่จะทำ

ตอนนี้ประธานศาลฎีกายังไม่มีนโยบายเปิดศาลเพิ่มตอนนี้เพราะมองว่า ปัจจุบันคดีในศาลยุติธรรม 275 แห่งทั่วปะเทศ มีปริมาณคดีเกือบ 2 ล้านคดี เทียบกับปริมาณศาลที่ให้บริการอยู่ก็เพียงพออยู่แล้ว อย่างไรก็ดีสำหรับแนวทางว่าจะเกิดเป็น "ร่าง พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีจราจร..." หรือทำเป็นแผนกคดีจราจร ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ทันภายในปี 2562 เพราะวันนี้การพิจารณาร่างกฎหมายคงต้องใช้เวลาในการเสนอเข้า ครม. ผ่านสภาผู้แทนและวุฒิสภา ต่างกับยุค สนช. อีกทั้งยังมีอีกหลายประเด็นต้องพิจารณา

...

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงการพิจารณาเมาแล้วขับ ที่มีการเสนอไม่ควรนำเรื่องการรอการลงโทษมาใช้ เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม กล่าวว่า การรอลงอาญาเป็นช่องทางหนึ่งที่เห็นว่าการจำคุกระยะสั้นไม่เกิดประโยชน์อะไร แทนที่จะให้เขากลับตัวคนดี และเยียวยาชดใช้ให้สังคม กับการลงลงโทษเพื่อแก้แค้นทดแทน เราต้องชั่งน้ำหนักให้ดี ตนคิดว่ากลไกกฎหมายเรื่องการใช้ดุลย์พินิจรอการลงโทษตามประมวลความอาญา มาตรา 56 มีไว้เพื่อสร้างความสมดุลในการพิจารณาแต่ละเรื่องซึ่งเราไม่สามารถที่จะพิจารณาลงโทษคนตามกระแสตามความสะใจของแต่ละคนนั้นเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นต้องมองภาพรวมทั้งหมดในระบบของการบริหารจัดการ ซึ่งสิ่งที่ตนมองว่าเราควรทำงานเน้นเรื่องการรณรงค์เพื่อเป็นการป้องกันนั้นก็ต้องทำแบบบูรณาการตั้งแต่ครอบครัว สถานศึกษา และทุกองคาพยพในสังคมต้องช่วยกัน 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณีที่นายสมชาย เวโรจน์พิพัฒน์ อายุ 56 ปี เสี่ยเจ้าของโรงงานขับรถเบนซ์สปอร์ต ซิ่งชนประสานงานกับรถส่วนตัวของ พ.ต.ท.จตุพร งามสุวิชชากุล หรือรองตี๋ รอง ผกก.สอบสวน กก.2 บก.ป. ที่เดินทางมาพร้อมครอบครัวจน พ.ต.ท.จตุพรเสียชีวิตพร้อมภรรยา ส่วนลูกสาวคนเล็กได้รับบาดเจ็บนั้น ที่แขวงทวีวัฒนา เมื่อวันที่ 11 เม.ย.62 ที่ผ่านมา

ล่าสุด พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญาธนบุรี 5 ได้ยื่นฟ้อง นายสมชาย เป็นจำเลยในคดีหมายเลขดำ 1839/2562 ต่อศาลจังหวัดตลิ่งชัน ในฐานความผิดขับรถด้วยความเร็วเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด, ขับรถในขณะเมาสุราหรือของมึนเมาอย่างอื่นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายได้รับอันตรายสาหัสและทรัพย์สินเสียหาย, ขับรถโดยประมาทอันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและได้รับอันตรายสาหัส รวม 3 ข้อหา โดยอัยการสั่งไม่ฟ้องความผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่นฯ ตามที่พนักงานสอบสวนสรุปสำนวนแจ้งข้อหาดังกล่าวมาด้วย แต่อัยการพิจารณาแล้วพฤติการณ์ไม่เข้าองค์ประกอบความผิดทางกฎหมาย 

ศาลจังหวัดตลิ่งชัน สอบคำให้การจำเลยแล้ว ให้การรับสารภาพตามฟ้องอัยการโจทก์ ซึ่งศาลพิเคราะห์แล้วจึงเห็นสมควรให้มีการสืบเสาะและพินิจจำเลยก่อนมีคำพิพากษา โดยให้พนักงานคุมประพฤติรายงานผลการสืบเสาะนั้นให้ศาลทราบภายใน 15 วัน และให้นัดฟังคำพิพากษาคดีนี้ในวันที่ 31 ก.ค.นี้ เวลา 09.00 น. โดยทางนายสมชายผู้ก่อเหตุยินยอมที่จะเยียวยาชดใช้ค่าเสียหาย 45 ล้านบาทให้กับครอบครัวของรองตี๋.