รอลุ้น “ศาลปกครอง” ชี้ขาดคุ้มครองชั่วคราวปมขึ้นค่ารถประจำทางหรือไม่ 24 เม.ย.นี้ หลัง "ศรีสุวรรณ" ยื่นขอคุ้มครองชั่วคราวขึ้นค่ารถเมล์ทั้งระบบ เชื่อศาลจะเห็นใจคนจนที่ได้รับผลกระทบ...

เมื่อวันที่ 22 เม.ย. เวลา 10.00 น. ศาลปกครองกลางนัดไต่สวนในคดีที่นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ยื่นฟ้องคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลาง กรณีอนุมัติให้มีการปรับขึ้นอัตราค่าโดยสาร รถโดยสารประจำทางสาธารณะทั้งใหม่และเก่า ในหลายๆ หมวด ในอัตราตั้งแต่ 1-7 บาท เพื่อไต่สวนคำขอคุ้มครองชั่วคราวเพื่อระงับคำสั่งขึ้นค่ารถเมล์ทั้งระบบโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นการสร้างภาระให้เกิดขึ้นกับประชาชนเกินสมควร ตามมาตรา 9(1) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง 2542 โดยศาลปกครองกลางได้ทำการไต่สวนประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที

จากนั้นนายศรีสุวรรณ ให้สัมภาษณ์ภายหลังการไต่สวนว่า วันนี้องค์คณะตุลาการได้ให้คู่กรณีแต่ละฝ่ายต่างชี้แจงข้อมูลข้อเท็จจริงต่อศาล และเมื่อไต่สวนเสร็จศาลปกครองกลาง จะมีคำสั่งเรียก องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ(ขสมก.) และบริษัทขนส่งจำกัด (บขส.) เข้ามาเป็นผู้ถูกฟ้องในคดีนี้ด้วย และให้ผู้ประกอบการเอกชนสามารถยื่นคำร้องเข้ามาเป็นผู้ร้องสอดได้ หลังจากนั้นศาลกำหนดว่าจะมีคำสั่งตามคำขอของผู้ฟ้องคดีหรือไม่ในวันพุธที่ 24 เม.ย.นี้

เลขาธิการองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ เชื่อมั่นว่าศาลปกครองจะเห็นใจคนยากคนจนในเรื่องดังกล่าว เพราะเชื่อว่าผู้ประกอบการสามารถที่จะจัดสรรเรื่องการลดต้นทุนการเดินรถได้อยู่แล้ว แต่หากขึ้นค่าโดยสารแม้เพียง 1 บาท แต่คนยากคนจนจะต้องใช้บริการรถประจำทางทุกวันก็ถือเป็นเงินจำนวนมาก และที่สำคัญคือต้นทุนค่าพลังงานในเรื่องราคาน้ำมันดีเซล กับราคาก๊าซ LNG ที่ยังไม่มีการผกผันในทิศทางที่สูงขึ้น จนเป็นต้นเหตุให้ต้องขึ้นค่าโดยสารแต่อย่างใด แต่ต้นทุนส่วนใหญ่เป็นเรื่องของค่าเงินเดือน และสวัสดิการของพนักงานลูกจ้างเกือบ 50% ดังนั้นการจะผลักภาระมาให้คนยากคนจนจึงไม่เป็นธรรม ถือได้ว่าเป็นการสร้างภาระให้กับประชาชนมากเกินสมควร

...

ศรีสุวรรณ กล่าวด้วยว่า อย่างไรก็ตามขอเรียกร้องให้รัฐบาลหรือนายกรัฐมนตรีสั่งให้เรียกคืนสัมปทานการเดินรถของเอกชนที่หมดอายุทั้งหมดมาดำเนินการเอง โดยเฉพาะรถร่วม ขสมก. เพื่อที่จะได้นำไปสู่การปฏิรูประบบขนส่งสาธารณะทั้งระบบได้อย่างคล่องตัวและรวดเร็วได้

ด้านนางภัทรวดี กล่อมจรูญ นายกสมาคมผู้ประกอบการรถโดยสารประจำทาง กล่าวว่า ทางสมาคมฯผู้ประกอบการรถโดยสารประจำทางขอขึ้นค่าโดยสารเพื่อให้สามารถปฏิรูปการเดินรถประจำทางได้ หากได้ขึ้นราคาค่าโดยสารตามอัตรารถใหม่ ทางสมาคมฯก็พร้อมที่จะนำรถใหม่กลับมาให้บริการในระบบภายใน 1-2 เดือน แต่หากยิ่งชะลอการขึ้นค่าโดยสารก็จะยิ่งมีรถร่วมให้บริการน้อยลงไปอีก โดยปัจจุบันมีข้อมูลผู้ประกอบการเลิกให้บริการเดินรถแล้ว 500-2,000 คัน ทำให้เหลือรถให้บริการในระบบเพียง 1,000 คันเท่านั้น เพราะไม่มีเม็ดเงินมาประกอบการต่อ ดังนั้นหากยังชะลอการขึ้นค่าโดยสารต่อไปอีก ผู้ประกอบการก็คงล้มหายตายจากไปจากระบบไปเรื่อยๆ

ขณะที่นายบรรยงค์ อัมพรตระกูล ประธานสหพันธ์รถเมล์ กทม. และปริมณฑล และประธานชมรมรถร่วม ขสมก. กล่าวว่า การจะให้ผู้ประกอบการนำรถใหม่เข้าในระบบได้จะต้องมีการปรับค่าโดยสาร ซึ่งตนมองว่าการปรับราคารถเมล์ขึ้น 1 บาท จากเดิม 9 บาท ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้บริการมากนัก เพราะปัจจุบันต้นทุนการเดินรถของ ขสมก. และรถร่วม ขสมก. สูงขึ้น แม้ผู้ประกอบการรถร่วม ขสมก.บางส่วนจะเปลี่ยนมาใช้ก๊าซ LNG เป็นเชื้อเพลิงแล้ว แต่ก็ยังคงมีปัจจัยอื่นที่ทำให้ต้นทุนสูงขึ้น.