หลอกต่างชาติซื้อบิตคอยน์ กองปราบบุกจับคากองถ่าย พี่ชายพี่สาวและพวกหนีรอด
กองปราบฯบุกรวบบูม-จิรัชพิสิษฐ์ นักแสดงหนุ่มค่ายจีเอ็มเอ็ม ขณะถ่ายทำละครเรื่องใหม่ คาห้างเมเจอร์รัชโยธิน หลังร่วมกับพี่ชายและพี่สาวที่ยังหลบหนีตุ๋นเปื่อยชาวฟินแลนด์ ลงทุนเงินสกุลบิตคอยน์เสียหายไปเฉียด 800 ล้านบาท จ่อหมายจับอีก 4 คน ส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจที่มีชื่อเสียงอยู่ในวงการหุ้นและตลาดหลักทรัพย์ ผู้การกองปราบฯยัน บูมมีส่วนรู้เห็นและร่วมพูดคุยในการหลอกลวงด้วย แฉ ประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ ผู้กว้างขวางตลาดหุ้น ย่องเงียบเข้าพบรอง ผบก.ป. อ้างมาแสดงความบริสุทธิ์ใจ ไม่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ ก.ล.ต.พร้อมประสานความร่วมมือตำรวจเต็มที่ เตือนนักลงทุนหากได้รับการชักชวนให้ตรวจสอบความน่าเชื่อถือให้ดีก่อน
จับนักแสดงหนุ่มค่ายจีเอ็มเอ็ม ร่วมกับพี่ชายพี่สาวตุ๋นเงินบิตคอยน์ชาวฟินแลนด์ เฉียด 800 ล้านบาทครั้งนี้ เปิดเผยขึ้นเมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 9 ส.ค. ที่กองบังคับการปราบปราม พล.ต.ต.ไมตรี ฉิมเฉิด ผบก.ป.สั่งการ พ.ต.อ.จิรภพ ภูริเดช รอง ผบก.ป.พ.ต.อ.ธงชัย อยู่เกษ ผกก.1 บก.ป. พ.ต.ต.ธนศักดิ์ปราสาททอง สว.กก.1 บก.ป. จับกุมนายจิรัชพิสิษฐ์ หรือบูม จารวิจิต อายุ 27 ปี ดารานักแสดง อยู่บ้านเลขที่ 46/22 หมู่ 8 ต.บางพระ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ตามหมายจับศาล อาญา ลงวันที่ 26 ก.ค.2561 ข้อหา “ร่วมกันฟอกเงิน” จับได้ที่บริเวณชั้น 2 ห้างเมเจอร์รัชโยธิน ถนนพหลโยธิน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กทม. ขณะถ่ายทำละคร
...
สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 30 ม.ค. เจ้าหน้าที่กองปราบปราม รับแจ้งจากนายเออาร์นี โมตาวา ซาริมา ชาวฟินแลนด์ ผู้เสียหายว่า เมื่อประมาณเดือนมิถุนายน 60 ได้รู้จักกับกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นกลุ่มเล่นสกุลเงินดิจิตอลเหมือนกัน ได้ติดต่อเรื่องการลงทุนธุรกิจกันเรื่อยมา ก่อนถูกชักชวนให้ลงทุนประกอบธุรกิจประเภท ซื้อ-ขาย สกุลเงินดิจิตอล ในชื่อ dragon coin (DRG) โดยซื้อหุ้นของบริษัท เอ็กซ์เปย์ ซอฟท์แวร์ จำกัด, NX Chain Inc. และหุ้นของบริษัทดีเอ็นเอ 2002 จำกัด (มหาชน) อ้างว่าเป็นบริษัทที่สามารถทำกำไรได้สูง ผู้เสียหายหลงเชื่อร่วมลงทุน โอนเหรียญบิตคอยน์ (สกุลเงินดิจิตอล) 5,564.44650956 เหรียญ คิดเป็นเงินไทยประมาณ 797,408,454.33 บาท ไปยังกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (E-wallet) ของกลุ่มผู้ต้องหาและพวกที่เปิดร่วมกันเพื่อรองรับการโอนเงิน หลังจากโอนเงินดิจิตอลไปแล้ว กลุ่มผู้ต้องหาได้ถอนเงินสกุลบิตคอยน์ ไปขายแปลงเป็นเงินสกุลไทย ก่อนจะโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารพาณิชย์ที่เปิดรองรับไว้ จากนั้นกลุ่มผู้ต้องหาได้โอนเงินที่ได้มาแบ่งกันในกลุ่ม
ภายหลังผู้เสียหายจ่ายเงินสกุลบิตคอยน์ไปแล้ว แต่ไม่ได้รับหุ้นตามจำนวนที่ตกลงกันไว้ รวมทั้งยังพบว่าเงินที่โอนไปไม่ได้ถูกนำไปลงทุนตามที่กลุ่มผู้ต้องหากล่าวอ้าง ได้ทวงถามเงินจากกลุ่มผู้ต้องหา แต่ได้รับการบ่ายเบี่ยงมาตลอด ถึงรู้ตัวว่าถูกหลอกก่อนจะรวบรวมหลักฐานเข้าแจ้งความกับกองปราบปราม
หลังรับแจ้งเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบเส้นทางการเงินของกลุ่มผู้ต้องหา พบว่าผู้เสียหายโอนเงินสกุลบิตคอยน์มายังบัญชีของผู้ต้องหากับพวกที่เปิดร่วมกันจริง อีกทั้งยังพบว่ากลุ่มผู้ต้องหาแบ่งเงินกันโดยโอนผ่านธนาคารพาณิชย์เข้าบัญชีต่างๆของผู้ร่วมขบวนการ ก่อนรวบรวมหลักฐาน ขออำนาจศาลออกหมายจับผู้ต้องหาเบื้องต้น 3 ราย เป็นพี่น้องกันทั้งหมดคือนายจิรัชพิสิษฐ์ หรือบูม จารวิจิต นายปริญญา จารวิจิต และ น.ส.สุพิชฌาย์ จารวิจิต ก่อนจับกุมนายจิรัชพิสิษฐ์ หรือบูม ไว้ได้ ส่วนพี่ชายและพี่สาวที่หลบหนี กำลังเร่งรัดติดตามจับกุมมาดำเนินคดี
นอกจากนี้ ยังพบว่ายังมีผู้ร่วมขบวนการอีก 4 ราย ส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจที่มีชื่อเสียงอยู่ในวงการหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ อยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐานขออำนาจศาลออกหมายจับ อย่างไรก็ตาม การกระทำความผิดลักษณะนี้เป็นการกระทำผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ” ถือว่าเป็นความผิดมูลฐานตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 3 (18)
ด้าน พล.ต.ต.ไมตรี ฉิมเฉิด ผบก.ป. เปิดเผยว่า กรณีนี้มีผู้เสียหายเป็นชาวต่างชาติ เข้ามาแจ้งความร้องทุกข์ที่กองปราบปรามให้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหากลุ่มหนึ่งที่ร่วมกันฉ้อโกงทรัพย์ ความเสียหาย 700 กว่าล้านบาท ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้ออกหมายจับ 3 ราย จับกุมผู้ต้องหาได้ 1 คน ทั้งนี้ เงินที่กลุ่มผู้ต้องหาหลอกมาได้โอนเงินถ่ายเทไปยังพ่อแม่ญาติพี่น้อง นอกจากนี้ยังจะพิจารณาออกหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มเติม เป็นคนกว้างขวางในตลาดหลักทรัพย์ อีกรายเป็นพี่ชายของนายจิรัชพิสิษฐ์ หรือบูม ได้ออกไปต่างประเทศก่อนหมายจับจะออก ได้ประสานสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองแล้ว
“น่าเห็นใจครอบครัวบูม เนื่องจากเป็นครอบครัวที่มีฐานะในสังคมและทางเศรษฐกิจ เปิดร้านอาหารอยู่ที่ จ.ชลบุรี แต่การกระทำของพี่ชายบูม ไปโกงมาแล้วเอาเงินมาโอนให้พ่อแม่พี่น้อง กลายเป็นว่าจะมาเดือดร้อนไปด้วย จากการสอบสวนในส่วนพี่น้องบางคนรู้ อย่างเช่นบูมก็มีส่วนรู้เห็น และพูดคุยในการหลอกลวงด้วย เนื่องจากมีหลักฐานที่ชัดเจน” พล.ต.ต.ไมตรีกล่าว
...
ส่วน พ.ต.อ.ชาคริต สวัสดี รอง ผบก.ป.กล่าวว่า ผู้เสียหายเป็นผู้ที่มีเงินในสกุลบิตคอยน์จำนวนมาก เมื่อกลุ่มผู้ต้องหาทราบข้อมูล ได้เข้าไปติดต่อชักชวนมาลงทุนธุรกิจสกุลเงินดิจิทัล อ้างจะนำเงินไปเปิดบริษัทเหรียญเงินดิจิทัลแล้วไปลงตลาดหลักทรัพย์ในไทย ส่วนเหรียญดิจิทัลจะนำไปใช้ในบ่อนการพนันที่มาเก๊า ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินให้ แต่ไม่ได้นำไปลงทุนจริง กลับโอนย้ายไปยังกลุ่มของผู้ต้องหา โดยตัวนายจิรัชพิสิษฐ์ หรือบูม ได้โอนเงินไปยังพี่น้องตนประมาณ 400 กว่าล้านบาท นำเงินไปทำธุรกิจรับขายฝากที่ดิน เจ้าหน้าที่ติดตามยึดที่ดินได้เป็นมูลค่า 200 กว่าล้านบาท
“เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบเส้นทางการเงินของกลุ่มผู้ต้องหาแล้วทั้งหมด 49 บัญชี หากหลักฐานเชื่อมโยงไปถึงพ่อหรือแม่ของนายจิรัชพิสิษฐ์ จะต้องเรียกมาสอบสวน นอกจากนี้ พบว่ามีการโอนเงินออกไปยังต่างประเทศประมาณ 30 ล้านบาทด้วย” พ.ต.อ.ชาคริตกล่าว
ขณะที่ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ อ้างว่าไม่มีส่วนรู้เห็น เจ้าหน้าที่กำลังสอบปากคำเพิ่มเติม ก่อนพนักงานสอบสวนจะควบคุมตัวส่งศาลอาญา ในวันที่ 10 ส.ค.
สำหรับ “บูม-จิรัชพิสิษฐ์ จารวิจิต” จบการศึกษาจากคณะวิศวกรรมไฟฟ้า มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี พระจอมเกล้าพระนครเหนือ เริ่มเข้าวงการเป็นที่รู้จัก มีผลงานถ่ายแบบนิตยสาร รวมถึงแจ้งเกิดจากการรับบท “หมอนัท” ที่แสดงแนวชายรักชาย ในซีรีส์ “สงครามแย่งผู้ To be continued ตอนลงเอย” เมื่อปี พ.ศ.2559, “แทนกาย” บทหนุ่มแบดบอย จาก Bad Romance The Series ปี พ.ศ.2559, ละครนางอายทางช่อง 3 และผลงานการแสดงเรื่องล่าสุด รับบทเป็น “บุญส่ง” สายลับหนุ่มจากละครเรื่อง แนวสุดท้าย ที่เพิ่งออกอากาศ เมื่อต้นปี 61 ทางช่อง GMM25
...
บ่ายวันเดียวกัน หลังมีข่าวตำรวจกองปราบปรามจับกุมนายจิรัชพิสิษฐ์ หรือบูม ไปตามสื่อต่างๆ นายประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ ผู้กว้างขวางในวงการตลาดหลักทรัพย์เมืองไทย ได้เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.ชาคริต สวัสดี รอง ผบก.ป. เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีที่เกิดขึ้น ก่อนที่จะเดินทางกลับ
พ.ต.อ.ชาคริตกล่าวภายหลังว่า นายประสิทธิ์ ได้มาขอเข้าพบเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องคดีโกงเงินบิตคอยน์ที่มีการจับกุมผู้ต้องหาไปแล้ว รายละเอียดของการพูดคุยคงไม่สามารถเปิดเผยได้ มีเพียงนายประสิทธิ์พูดทำนองว่าจะขอไปเจรจาเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับผู้เสียหายก่อน ได้กล่าวไปว่าเป็นเรื่องที่เขาจะไปจัดการเอง เพราะปัจจุบันนายประสิทธิ์ยังไม่มีหมายจับในคดีนี้ และยังไม่ขอศาลออกหมายจับใครเพิ่มเติม และตำรวจยังไม่ได้แจ้งข้อหาแก่ นายประสิทธิ์แต่อย่างใด
แหล่งข่าวพนักงานสอบสวนผู้หนึ่งกล่าวว่า การออกหมายจับผู้ต้องหา 3 พี่น้อง ในข้อหาฟอกเงินนั้น เนื่องจากพบการกระทำความผิดที่ชัดเจน มีการรับเงินมาแล้วนำไปซื้อที่ดินเพื่อเปลี่ยนสภาพของเงินที่ได้มาจากการกระทำความผิด จึงเข้าข่ายการฟอกเงินอย่างชัดเจน นอกจากนี้ จะพิจารณาแจ้งข้อหาฉ้อโกงเพิ่มเติมอีกด้วย ทั้งนี้ จะต้องรวบรวมหลักฐานเพื่อออกหมายจับและแจ้งข้อหาเพิ่มเติมต่อไป ส่วนผู้ต้องหาอีก 4 คนนั้น เบื้องต้นยังไม่พบว่าเข้าข่ายการฟอกเงิน แต่มีการรับโอนเงินจากกลุ่มผู้ต้องหา อาจจะเข้าข่ายการกระทำความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงทรัพย์
เย็นวันเดียวกัน นายรพี สุจริตกุล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า ตามที่ปรากฏเป็นข่าว อาจเป็นการหลอกลวงให้ลงทุนจนมีผู้ได้รับความเสียหาย อาจเป็นความผิดตาม พ.ร.ก. สินทรัพย์ดิจิทัล หรืออาจเข้าข่ายเป็นการฉ้อโกงประชาชน ผิดกฎหมายอาญาด้วย ก.ล.ต.จะได้ประสานงานกับตำรวจโดยพร้อมร่วมมือเต็มที่ ขอเตือนผู้ลงทุนหากถูกชักชวนให้ลงทุน ควรศึกษาข้อมูลให้เพียงพอ และตรวจสอบความน่าเชื่อถือของผู้ชักชวนหรือผู้ให้บริการก่อน อย่าหลงเชื่อโดยไม่ตรวจสอบ เพราะมีโอกาสเสียหายสูง นอกจากนี้ อาจเป็นการหลอกลวงโดยอ้างว่าเป็นการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลทั้งที่ไม่มีการลงทุนจริงก็ได้ หากประชาชนได้รับการชักชวนหรือมีข้อสงสัย สามารถติดต่อ ก.ล.ต. ที่เบอร์ 1207 ก่อนได้
...
มีรายงานว่า สำหรับผู้กว้างขวางในวงการตลาด หุ้นที่ต้องสงสัยว่าอาจมีส่วนพัวพันกับคดีนี้นั้น เคยเป็นผู้บริหารระดับสูงของบริษัทหลักทรัพย์หรือโบรกเกอร์หลายแห่ง ไต่เต้าอยู่ในวงการตลาดหุ้นมาจนกระทั่งร่ำรวยได้เป็นเจ้าของผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทโบรกเกอร์แห่งหนึ่ง แต่เมื่อปลายปี 59 ถูกสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) สั่งลงโทษ พักการให้ความเห็นชอบเป็นบุคลากรหรือผู้บริหารในธุรกิจตลาดทุน 2 ปี อย่างไรก็ตาม บุคคลดังกล่าวยังได้เข้าไปถือหุ้นและเป็นซีอีโอบริษัทในตลาดหุ้นอีกหลายแห่ง มีความใกล้ชิดกับนักการเมืองและนักธุรกิจการเมืองหลายราย ก่อนที่จะประกาศตัวไปเป็นนักลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล หรือธุรกิจเงินดิจิตอล และเคยพาคณะสื่อมวลชนไปโรดโชว์ที่ฮ่องกง รวมทั้งไปดูเหมืองขุดบิตคอยน์
รายงานข่าวระบุต่อด้วยว่า ขณะเดียวกัน DNA ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยยังไม่ได้ออกมาชี้แจงเกี่ยวกับกรณีมีชื่อเข้าไปพัวพันว่า การระดมเงินทุนนั้น เพื่อมาลงทุนในหุ้น DNA ด้วย ทั้งนี้ จากข้อมูลพบว่าช่วงที่ผ่านมา DNA ได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์เป็นระยะว่า กำลังเจรจากับ Dragon Corporation (HK) Limited หรือ “Dragon” เพื่อดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการบริหารจัดการด้านเทคโนโลยี ให้กับ Dragon แต่ที่ยังไม่ได้ข้อสรุปหรือล่าช้า เนื่องจากมีข้อจำกัดบางประการที่ต้อง ใช้เวลาในการพิจารณาข้อสรุป รวมถึงประเด็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง