ก.แรงงาน ออกมาตรการช่วยคนจบปริญญาตรีว่างงาน 1.7 แสนคน ตั้ง 11 ศูนย์ OSS จัดหางานป้อน วางเป้า 1 แสนคนมีงานทำใน 3 เดือน เดินหน้าปรับทัศนคติ ให้เด็กเลือกเรียนสายอาชีพ ไม่เรียนตามกระแสนิยม เผยสายศิลป์-สังคม ตกงานสูง



เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รมว.แรงงาน กล่าวหลัง
เป็นประธานการประชุมแนวทางแก้ไขการว่างงานของผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี ร่วมกับ 22 หน่วยงานภาครัฐ เอกชน ว่า ข้อมูลการมีงานทำของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ในเดือน พ.ค. 2561 มีคนว่างงานที่จบปริญญาตรีมากที่สุด 170,900 คน กระทรวงแรงงานเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่จะแก้ไข ต้องร่วมมือกับหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน โดยมีสาเหตุหลัก อาทิ การเปลี่ยนงานบ่อย รองานเนื่องจากลาออกจากงานเดิม การเลือกเรียนและจบในสาขาที่ไม่ตรงกับตลาดแรงงาน เลือกเรียนตามกระแส ค่านิยม หรือเรียนตามเพื่อน เลือกงานหรือต้องการทำงานที่สบาย และเงินเดือนสูงๆ รวมทั้งพฤติกรรมเด็กรุ่นใหม่ไม่ชอบทำงานที่อยู่ในกรอบ 



พล.ต.อ.อดุลย์ กล่าวต่อว่า มีแนวทางแก้ไขปัญหาว่างงานของผู้จบปริญญาตรีซึ่งกำหนดไว้ 2 ระยะ คือ ระยะเร่งด่วนภายใน 3 เดือน ได้แก่ 1. แนะแนวอาชีพและส่งเสริมอาชีพอิสระ
ให้บัณฑิตมีงานทำ มีรายได้ จำนวน 2,000 อัตรา 2. จับคู่ตำแหน่งงาน (Matching) ระหว่างผู้ที่กำลังหางานทำกับนายจ้างสถานประกอบการ ผ่านศูนย์บริการจัดหางานเพื่อคนไทย เว็บไซต์ http//:smartjob.doe.go.th และ Job box ของกรมการจัดหางาน 20,000 อัตรา ตำแหน่งงานในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ (EEC) 4,500 อัตรา จัดนัดพบแรงงานในสถานศึกษา (Job Fair) 20,000 อัตรา ตำแหน่งงานในเครือข่าย อาทิ JobDB, BKK job, Jobtopgun, Adecco รวม 28,000 อัตรา ความร่วมมือกับ Line Jobs เพิ่มช่องบริการรับสมัครงานผ่านไลน์‎ 20,000 อัตรา ตำแหน่งงานในต่างประเทศอีก 500 อัตรา และ 3. กรมพัฒนาฝีมือแรงงานจะบูรณาการกับสถานศึกษาเพื่อเพิ่มทักษะ (Up skill/Re-skill) แก่บัณฑิตที่แจ้งความประสงค์ฝึกอาชีพเพื่อให้ตรงกับความต้องการของสถานประกอบการ ในหลักสูตรระยะสั้นฝึกอบรมอย่างน้อย 10 วัน อาทิ หลักสูตรภาษาอังกฤษ คอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีดิจิทัล อินโฟกราฟิก เทคนิคการนำเสนอ เป็นต้น เป้าหมาย 5,000 คน 

...



"ในระยะสั้น 3 เดือน จะให้คนตกงาน ได้มีงานทำก่อน โดยจะตั้งศูนย์วันสตอปเซอร์วิสจัดหางานให้คนจบปริญญาตรีในทุกภาค 11 ศูนย์ จะมีการบูรณาการร่วมกับหลายฝ่าย ส่วนระยาวภายใน 1-2 ปี จะร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการแนะแนวอาชีพให้นักเรียนตั้งแต่ระดับประถมศึกษา รวมทั้งปรับหลักสูตรให้สอดคล้องกับความต้องการของสถานประกอบการ การเชื่อมโยงฐานข้อมูลกำลังคนระหว่างภาครัฐด้วยกันและภาคเอกชน การสร้าง
จิตสำนึกนักเรียน นักศึกษา และครอบครัวให้มีทัศนคติในการเลือกศึกษาต่อหรือเลือกประกอบอาชีพตามความรู้ ความสามารถ เพื่อให้สามารถเข้าสู่ตลาดแรงงานได้เร็ว ปรับปรุงหลักสูตรให้ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน โดยเพิ่มทักษะด้านความรู้ความสามารถและการเรียนรู้ตลอดชีวิต รวมทั้งการขยายความร่วมมือกับโรงงานและสถานประกอบการในรูปแบบทวิภาคีตามโครงการ 3 ม. (มีงาน มีเงิน มีวุฒิการศึกษาเพิ่ม) เพื่อให้นักเรียน นักศึกษาและประชาชนได้มีงานทำในสถานประกอบการ ควบคู่ไปกับการศึกษาต่อ
ในสถานศึกษา ช่วยให้มีวุฒิการศึกษาที่สูงขึ้น และมีรายได้ระหว่างเรียนอีกด้วย" พล.ต.อ.อดุลย์ กล่าว