ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนจำคุก 2 ปี 6 เดือน พนักงานสอบสวนให้การเท็จ ใส่ร้าย จำเลย ในคดี ล้มการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน พัทยา ปี 2552 แต่ให้รอกำหนดโทษ 2 ปี
ที่ศาลจังหวัดพัทยา เวลาประมาณ 10 นาฬิกา วันที่ 14 มิถุนายน 2561 ศาลอุทธรณ์ได้อ่านคำพิพากษา คดีที่พนักงานอัยการจังหวัดพัทยา ฟ้อง พันตำรวจโทศราวุฒ บุญชัย จำเลยคดีให้การเท็จ ที่ได้ให้การเบิกความเท็จ นำสู่บุคคลหลายท่านถูกตั้งข้อหา ดำเนินคดีหรือแม้กระทั่งต้องติดคุก ในคดีล้มการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน พัทยา ปี 2552 ขณะที่ผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์วันดังกล่าว การกระทำของจำเลยเป็นการเพื่อจะแกล้งให้ผู้เสียหายต้องรับโทษทางอาญา และเบิกความอันเป็นเท็จ เป็นข้อสำคัญในคดีอาญา โดยจำเลยรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137, 172, 174 วรรค 2 177 วรรค 2 การกระทำของจำเลยมีความผิดต่างวันเวลาโทษตาม 174 วรรค 2 อันเป็นกฎหมายสูงสุด ฐานแจ้งความเท็จต่อพนักงานสอบสวนจำคุก 2 ปี และปรับ 1 หมื่นบาท และฐานเบิกความเท็จโทษจำคุก 3 ปีและปรับ 14,000 บาท จำเลยให้การสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิพากษาจำคุก 2 ปี 6 เดือนและปรับ 12,000 บาทโทษจำคุกรอลงอาญา 2 ปีรายงานคุมประพฤติ 1 ปีกำหนด 4 เดือนครั้ง บำเพ็ญประโยชน์ 24 ชั่วโมง
...
หลังการพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยได้เข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยของศาล ยอมชดใช้เงิน 300,000 บาท แก่ผู้เสียหายคนหนึ่ง คือ พ.ต.อ.สมพล รัฐกาญจน์ จนไม่ติดใจดำเนินคดี ถอนตัวออกจากการเป็นโจทก์ร่วม
ศาลอุทธรณ์ พิพากษาว่า การที่ศาลชั้นต้น ใช้ดุลยพินิจกำหนดโทษและรอการลงโทษจำคุกจำเลย ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่เห็นพ้องด้วยอุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น แต่เพื่อให้จำเลยหลาบจำ สมควรคุมความประพฤติจำเลยไว้ระยะหนึ่งตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น อุทธรณ์ของโจทก์ที่ขอให้ลงโทษจำคุกจำเลยมานั้นฟังไม่ขึ้น
การที่ศาลชั้นต้นปรับบทความผิดของจำเลยตามมาตรา 137 มาด้วยนั้น เห็นว่า จำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาแก่พนักงานสอบสวนเป็นความผิดมาตรา 172 และ 174 วรรคสอง ซึ่งบัญญัติเป็นความผิดไว้โดยเฉพาะแล้ว ย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรา 137 ปัญหาดังกล่าวเหล่านี้ แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 เห็นควรแก้ไขให้ถูกต้อง พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 ลงโทษ ตามมาตรา 174 วรรคสอง ฐานแจ้งความเท็จ เพื่อให้บุคคลอื่นได้รับโทษทางอาญา ให้รอกำหนดโทษไว้มีกำหนด 2 ปี นอกจากที่แก้ให้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
นายนพพร นามเชียงใต้ 1 ในจำเลยคดีล้มการประชุมอาเซียน กล่าวว่า พันตำรวจโทศราวุฒ ได้ให้การเท็จส่งผลกระทบถึงตนมาก เนื่องจากได้ให้การว่าตนอยู่ในเหตุการณ์วันที่ 11 เมษายน 2552 ซึ่งข้อเท็จจริงตนไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์วันดังกล่าว ทำให้ตนตกเป็นจำเลยคดีล้มการประชุมอาเซียน และต้องติดคุกอยู่หลายเดือน ทำให้ตนคิดว่าตนไม่ได้รับความเป็นธรรม และจะเรียกร้องความเป็นธรรมต่อไป จะมีการไปเรียกร้องที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงานอัยการสูงสุดต่อไป
พ.ต.อ.สมพล รัฐกาญจน์ อดีตผู้กำกับการ สภ.ไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ตกเป็นจำเลยคดีบุกล้มการประชุมอาเซียนซัมมิทที่พัทยาตั้งแต่ปี 2552 อดีตเป็นอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ต่อสู้คดีมานานหลายปี ศาลชั้นต้นยกฟ้อง 5 มีนาคม 2558 และอัยการไม่อุทธรณ์ คดีถึงที่สุด
...
ต่อมา พ.ต.อ.สมพล ฟ้อง พ.ต.ท.ศราวุธ บุญชัย พยานในคดีว่าเป็นพยานเท็จ เนื่องจากมีพยานหลักฐานเป็นบันทึกประจำวันแจ้งความที่ สน.นางเลิ้ง ว่าเวลาเดียวกับที่ถูกกล่าวหาว่าตนเองอยู่ที่พัทยานั้น พ.ต.อ.สมพล แจ้งความนาฬิกาโรเล็กซ์หายอยู่ที่ สน.นางเลิ้ง ศาลพัทยาจึงยกฟ้อง เพราะไม่มีบุคคลใดสามารถปรากฏกายได้ในสองสถานที่ในเวลาเดียวกันได้
หลังจากแจ้งความกล่าวหาว่า พ.ต.ท.ศราวุธ บุญชัย ว่าเป็นพยานเท็จด้วยการร้องทุกข์กับตำรวจ สภ.พัทยา ตำรวจสั่งฟ้อง อัยการสั่งฟ้อง เป็นจำเลยต่อศาลจังหวัดพัทยา นำสู่การพิจารณาคดีในศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ในวันนี้