เพราะ "นามสกุล" ไม่ได้บ่งบอกถึงความเป็นตัวตนหรือนิสัยใจคอการใช้ชีวิตประจำวัน ของบุคคลนั้นๆ แต่ เพราะ "นามสกุล" นี่แหละ ที่หยิบยกโยงใยลากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องของคนในตระกูลนั้นๆ ออกมาต่อความยาวสาวความยืด จนทำเอาหลายๆ คนที่มีนามสกุลเกี่ยวพันเชื่อมโยงกับคนดังๆ เป็นกระแสสังคม ถูกจับตามองไป โดนจ้องจับผิด ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว ชีวิตพวกเขาก็แค่ปุถุชน คนธรรมดา    

พ.ต.ท.(หญิง) นุชพัชร วงษ์สุวรรณ หรือ จอย อดีตนายตำรวจหญิงหลานสาวบิ๊กคนดังกองทัพไทย ที่มีความโด่งดังเพียงเพราะ "นามสกุลพ่วงท้าย" กับชีวิตที่ผ่านร้อนผ่านหนาวบนเส้นทางสีกากียาวนานกว่า 15 ปี ก่อนจะตัดสินใจลาออกจากราชการ หันมาประกอบธุรกิจส่วนตัวอย่างเต็มรูปแบบ พร้อมสร้างครอบครัว มีลูกแล้ว 2 คน "จอย นุชพัทร" ในวันนี้ แตกต่างจาก "พ.ต.ท.(หญิง) นุชพัชร วงษ์สุวรรณ" ในวันนั้นอย่างไร วันนี้ ไทยรัฐออนไลน์ โดย "Police Community" มีโอกาส ได้สัมภาษณ์เธอเป็นที่แรก 

...

เป็นตำรวจเหมือนคนอื่น ไร้สิทธิ์พิเศษ ใครใช้ทำอะไรทำหมด 

ตั้งแต่เริ่มเป็นตำรวจมาเมื่อปี 2545 ขณะนั้นเป็นรองสารวัตร สารนิเทศ จากวันนั้นจนวันตัดสินใจลาออก ไม่มีสักวันที่ไม่รู้สึกดีกับอาชีพนี้ เพราะเราซึมซับมาตลอดว่า การเป็นตำรวจ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี เมื่อเราอยู่ในหน้าที่ เราก็ทำตรงนั้นให้ดีที่สุด แวดวงสีกากี มีทั้ง "อาชีพตำรวจ และตำรวจอาชีพ" อย่างจอยคิดว่าตัวจอยเองมี "อาชีพเป็นตำรวจ" ไม่ได้เป็น "ตำรวจอาชีพ" เพราะจอยเชื่อว่า องค์กรเราดี สำนักงานตำรวจแห่งชาติปลูกฝังให้ทุกคนเป็นคนดี ส่วนบุคลากรจะดีพร้อมครบทุกคนมั้ย คงไม่กล้ามีใครการันตี 

"ช่วงชีวิตที่รับราชการตำรวจ จอยพูดเลยว่าไม่เคยเอาเปรียบใคร และมุ่งมั่นทำทุกอย่างเต็มความสามารถ เราช่วยเหลืออะไรองค์กรได้ ทำหมด ไม่มีบ่ายเบี่ยงหรือยึกยักไม่อยากจะทำ หนักไม่เอาเบาไม่สู้ จอยก็ทำงานพบปะกับสื่อมวลชนบ่อยๆ ใครทำงานสมัยนั้น รุ่นไล่ๆ กันก็จะรู้จักกันหมด อย่างที่ ตร. จะมีสื่อมวลชนหลายคนที่เห็นกันบ่อยๆ"

นามสกุล ทำให้คนรอบข้างมองเราเปลี่ยนไป 

นามสกุล น่าจะเป็นหลักใหญ่ใจความของการเป็นตำรวจได้อย่างไม่ค่อยสงบสุขมากนัก ใช้นามสกุลนี้ นอกจากจะไม่ได้อภิสิทธิ์อะไรเหมือนใครๆ แล้ว ยังโดนจ้องจับผิด เรายิ่งต้องทำพลาดอะไรไม่ได้เลย ทุกผลงานต้องดีที่สุด ยิ่งเขาจ้อง เรายิ่งต้องทำให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป แต่จนแล้วจนรอด ก็มีคนที่อาจจะไม่รู้จักหรือไม่สนิทกับเราจริงๆ เอาไปพูดในทางลบ หรืออาจจะฟังต่อๆ กันมา ซึ่งไม่โกรธนะ แต่ถ้าถามว่า มีน้อยใจไหมที่โดนพูดถึงในทางไม่ได้ มีน้อยใจและท้อใจบ้างอยู่แล้ว

"โชคดีตรงที่จอยมีคนรอบข้างดี ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวหรือเพื่อนที่สนิทเห็นใจกัน เขารู้พฤติกรรม และนิสัยเรา ดังนั้นหากคนพวกนี้ไปฟังคนอื่นเล่าต่อๆ กันมา แน่นอนว่าเขาไม่มีทางเชื่อ และไม่ให้ราคากับข่าวการโจมตีเราเสียหาย ซ้ำยังออกมาปกป้องเรา อันนี้จอยว่ามันเป็นเรื่องที่ดีมากๆ เลย โชคดีที่สุดในชีวิตที่เรามีกัลยาณมิตรที่ดี ส่วนคนที่เข้ามาเพื่อหวังอย่างอื่นมากกว่ามิตรภาพก็ค่อยๆ ทยอยหายไปเอง" 

ชีวิตครอบครัวเคยพัง - แต่งงานแล้วเลิกรากันไป  

เรียกว่าชีวิตครอบครัวพังได้มั้ยก็ไม่แน่ใจ เพราะสำหรับตัวจอยเอง ไม่ได้คิดว่าครอบครัวจอยพัง เหมือนเราไปกันไม่ถึงจุดหมาย เพราะไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต เพราะความไม่เข้าใจ ถึงจุดหนึ่งเมื่อลองได้เรียนรู้นิสัยกันแล้วไปด้วยกันไม่ได้ก็แยกทางกันเดิน ...จอยว่ามันคือประสบการณ์ชีวิต ไม่เคยปิดบังใครว่าเราแต่งงานมาแล้ว 1 ครั้ง และมีลูกน่ารักๆ 1 คน คือเพื่อนสนิทจอยทราบดี แต่คนอื่นๆ ที่ไม่รู้ เขาอาจคิดไปเองว่า เราปิดบัง หรือมีปมด้อยกับเรื่องนี้รึเปล่า จริงๆ คือไม่รู้สึกเคย แต่ไม่ได้สนิทรู้จักกัน เลยไม่รู้ว่าจะไปเล่าทำไม 

...

"จอย คิดว่าการที่เราชีวิตคู่ไม่สมหวัง ไปกันไม่รอดไม่ใช่เรื่องแย่ เป็นเรื่องดีด้วยซ้ำที่ต่างคนต่างรู้ตัวว่าไปกันไม่ได้ สิ่งที่ดีที่สุด และเป็นของขวัญอันยิ่งใหญ่ในชีวิตจอยก็คือ "น้องของขวัญ" ลูกสาวที่เกิดกับสามีคนแรก น้องของขวัญ เป็นสิ่งมีชีวิตที่เติมเต็มจิตใจจอยได้เป็นอย่างดี"

ที่สำคัญวันนี้จอยแต่งงานใหม่ เริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง กับคนที่เราศึกษาดูใจนานกว่าเดิม ไม่รีบร้อน และเรียนรู้ได้ด้วยตัวเองว่า สุดท้ายแล้ว ความเข้าอกเข้าใจ ความเห็นอกเห็นใจกันสำคัญที่สุด ซึ่งเขามีตรงนี้ เราจึงยอมที่จะกลับเข้ามาใช้ชีวิตคู่อีกครั้ง ตอนนี้มีลูกชายอีก 1 คนค่ะ ชื่อว่า "น้องขอบคุณ" จอยเชื่อว่า ฟ้ากำหนดชะตาชีวิตเราไว้หมดแล้ว วันข้างหน้าไม่มีใครสักคนรู้ว่าตัวเองจะเดินไปในทิศทางใดต่อ แต่วันนี้จอยตอบได้คำเดียวว่า มีความสุขมากๆ และขอบคุณพี่บอย (สามี) ที่ช่วยเหลือดูแลรับภาระทุกอย่างเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดีมาก 

...

ออกจากตำรวจเพราะไม่อยากให้ใครพาดพิงคนที่เรารัก 

หลายปีที่ผ่านมา กระแสอะไรหลายๆ อย่างมันแรงจนตัวเราเอาไม่อยากจะกระดิกหรือทำอะไรให้เกิดกระแสเลย เพราะขนาดอยู่เฉยๆ ยังโดนโจมตี โดนเอาไปเสียบประจานบ้าง โดยเฉพาะคนที่ไม่เคยรู้จักตัวตนเอามาก่อน เอาเราไปว่าเสียๆ หายๆ ในโลกโซเชียล เพียงเพราะเรามีนามสกุลเดียวกับคนใหญ่คนโตในประเทศนี้ รู้สึกท้อใจ และรู้สึกสงสารพ่อ สงสารคุณลุง รวมไปถึงทุกๆ คนที่นามสกุลเดียวกับเรา เมื่อเรามียศเป็นตำรวจ เราก็ถูกโจมตีว่าใช้เส้นบ้าง อะไรบ้างบ่อยๆ คนในครอบครัวพลอยมาหนักใจกับเรื่องนี้ด้วย ถึงจุดหนึ่งจึงตัดสินใจลาออกราชการมาทำธุรกิจส่วนตัวดีกว่า 

"ก็ยังรู้สึกโหยหาความเป็นตำรวจนะ แต่ถ้าการที่เราเป็นตำรวจ ต้องไปดึงคนในครอบครัวมาเป็นประเด็นด้วย ไม่เป็นซะก็ได้ยอมลาออกมา แล้วตั้งหน้าตั้งตาทำธุรกิจส่วนตัวดีกว่า เพราะจอยเองชอบหารายได้เสริม ทำนู่นทำนี่ตั้งแต่เด็กๆ อยู่แล้วค่ะ อย่างที่มีคนพูดถึงบ่อยๆ เรื่องอาชีพพริตตี้ที่จอยเคยทำสมัยยังเรียนหนังสือ นั่นมันหนทางหาเงินใช้จ่ายอีกทางนึง ไม่ต้องแบมือขอพ่อ ซึ่งอาชีพพริตตี้ไม่ได้เสียหายอะไร จอยไม่ได้แต่งตัวโป๊ และทำให้เรามีรายได้ในช่วงเรียนด้วย" 

ชอบทำงานหาเงิน สร้างความมั่นคงให้ตัวเองและครอบครัว 

จอยคิดว่าค่าของคนมันอยู่ที่ผลของงาน ยิ่งการหาเงินด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเอง ไม่เบียดเบียนสังคม ไม่สร้างความลำบากใจให้คนอื่น มันเป็นอะไรที่ดีมากๆ รวมไปถึงการขายของ ขายสินค้าต่างๆ กำไรบาท สองบาท เมื่อขายได้หลายๆ ชิ้น เก็บเงินรวบรวมกันมันก็มีมูลค่าขึ้นมาเอง จอยไม่เคยคิดดูหมิ่นเงินน้อย คิดแค่ว่าจะทำไงให้เราสามารถยืนได้ด้วย 2 ขาของตัวเอง ยิ่งตอนนี้มีครอบครัวแล้ว เราต้องนึกถึงลูกๆ สร้างความมั่นคงให้ลูก เก็บเงินดูแลพ่อที่มีอายุมากขึ้นทุกๆ วัน ดังนั้นการพยายามทำธุรกิจเพื่อให้ได้เงินที่สุจริตมา จอยคิดว่าเป็นเรื่องที่ต้องทำต่อไป 

...

ภูมิใจสุดชีวิต ได้ดูแลแม่จนวาระสุดท้ายหลังโรคร้ายพาจากไป 

พ่อกับแม่แยกทางกันตั้งแต่จอยยังเด็กค่ะ ก็เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ ซึ่งก็จากกันด้วยดี จอยอยู่กับพ่อมาตลอดตั้งแต่เล็กจนโต ช่วงหลังๆ ก่อนแม่เสียชีวิต จอยมีโอกาสได้ตอบแทนพระคุณแม่ ดูแลไปมาหาสู่กันตลอด เงินที่ทำธุรกิจขายของได้มาก็ส่งให้แม่ใช้จ่าย จนเมื่อปี 2559 มาทราบข่าวร้ายว่าแม่เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ยอมรับว่าเสียใจมาก แต่ตั้งใจที่จะพาแม่ไปรักษาทุกๆ ที่ๆ เขาบอกว่ารักษาแล้วจะหาย ให้กำลังใจแม่ อยากให้แม่มีความหวังต่อสู้กับโรคร้าย แต่สุดท้ายท่านจากจอยไป 

"ในความเป็นลูก มั่นใจมากว่า จอยทำหน้าที่ดูแลแม่ได้ดีไม่แพ้ลูกคนไหนๆ ถึงแม้ว่าเราจะใช้เวลาอยู่ด้วยกันได้ไม่นาน แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่จอยทำเพื่อแม่ คือดีที่สุดแล้ว แม่จากไปสบาย ไม่ทรมานอีกแล้วค่ะ"

พ่อคือต้นแบบของผู้นำครอบครัว น่ารักและอยู่เคียงข้างลูกเสมอ

ความทรงจำของจอย ทุกๆ วันก็มีแต่พ่อ โตมากับพ่อ พ่อเลี้ยงเรามาให้วิชาความรู้ ให้การศึกษา ทำให้จอยเติบโตมีชีวิตที่ดี และประพฤติตนเป็นคนดีอย่างวันนี้ พ่อไม่ได้เป็นทหารหรือตำรวจ พ่อไม่ได้เป็นข้าราชการ แต่พ่อทำงานธนาคาร ในความเป็นลูก จอยคิดว่าพ่อไม่เคยบกพร่องต่อหน้าที่แม้เพียงน้อย หากใครได้รู้จักใกล้ชิดพ่อจอย ก็คงเข้าใจถึงสิ่งที่จอยพูดได้ลึกซึ้ง เขาเป็นคนน่ารัก รักพี่รักน้อง และชอบช่วยเหลือคนอื่นๆ

"พ่อทำงานหนักเพื่อเลี้ยงดูจอย เราเป็นลูกคนเดียว เป็นความหวังของเขา การสร้างความมั่นคงให้ตัวเองจึงเป็นสิ่งที่ทำให้พ่อสบายใจที่สุด ทุกวันนี้ก็พยายามทำทุกอย่างที่ไม่ต้องให้พ่อเป็นห่วง มีกันอยู่สองคนพ่อลูก ก็ต้องรักพ่อที่สุดอยู่แล้วค่ะ" 

ขายสบู่ ลิปสติก ครีมทาหน้า 

555 ก็ขายทุกอย่างนะคะ เป็นเจ้าของแบรนด์เอง ทำกับครอบครัวสามี แต่ตอนนี้กำลังบุกตลาด สบู่ยี่ห้อ "นิต้า" (NiTa) มีดารามาหุ้นด้วย  สินค้าของเราปลอดภัยมี อย. ใช้แล้วเห็นผล มุ่งเน้นการขายแบบมีตัวแทน แต่ไม่ใช่แชร์ลูกโซ่แน่นอน เพราะเรามีวัตถุประสงค์ว่า คนที่ขายสินค้าของเราต้องได้จับต้องใช้เงินด้วย ใช้สินค้าแล้วได้ผลด้วย อยากให้ทุกอย่างมันยืดยาว ไม่อยากขายแป๊บๆ เป็นพลุ ดังแล้วตก เราเน้นคุณภาพ ความปลอดภัย และความยั่งยืน ครองใจผู้บริโภคค่ะ 

"นอกจากนี้ก็มีผลิตรายการทีวี ภายใต้บริษัท "มันเวิร์ก โปรดักชั่น" ทำหนังละคร และรายการป้อนช่องต่างๆ รับงานอีเวนต์บ้าง เพราะสามีจอยเขาอยู่ในวงการมาก่อน แล้วก็ชอบเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว " 

ไม่ได้มีอำนาจยิ่งใหญ่ ไม่ได้มีศักดิ์ศรีถึงขั้น ก้มหัวให้ใครไม่ได้ 

อย่างแรกเลยคือ จอยไม่ใช่คนรวยค่ะ อันนี้ยืนยันเลย จอยเป็นคนธรรมดาๆ ที่อาจจะมีโอกาสตรงที่ มีครอบครัวที่ดี มีเพื่อนที่เข้าใจและมีสามีที่พร้อมจะสร้างครอบครัวและก้าวไปด้วยกัน โดยส่วนตัวจอย ไม่เคยชอบมีปัญหากับใคร ไม่ชอบทะเลาะ ยอมได้ก็ยอมหมดค่ะ เราไม่ได้ยิ่งใหญ่ เราเป็นแค่ลูกของพ่อ ทุกวันนี้พูดได้เต็มปากว่า ไม่เคยเอาเปรียบใคร และพยายามไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร 

"ที่ผ่านๆ มาก็มีบ้างเหมือนกัน ที่คนรอบตัวอาจจะสร้างความเดือดร้อนให้เราบ้างโดยการแอบอ้างเรา หรือแอบอ้างครอบครัวเราไปทำในสิ่งที่เขาคิดว่าเป็นการทำดีแล้ว ถามว่าโกรธมั้ย ก็ไม่โกรธอีกนั่นแหละค่ะ ให้อภัยเสมอ แต่หากนำความเดือดร้อนมาให้ ก็แค่ให้อภัยแล้วจบๆ กันไป ไม่รื้อฟื้น ไม่กลับมาพบกันใหม่ ต่างคนต่างอยู่ดีกว่า " 

***อย่างที่เกริ่นไปตั้งแต่ทีแรกว่า ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกสำหรับบทสัมภาษณ์ล้วงลับ แบบฉบับตัวจริงเสียงจริงของ "จอย นุชพัทร วงษ์สุวรรณ" อดีตรองผู้กำกับ กอ.รม.น. ภายหลังโดนคลื่นการเมืองซัดกระทบชีวิตความเป็นอยู่เบาๆ เคยถูกนำข้อมูลบ้างส่วนมาเผยแพร่ในโลกโซเชียลบ่อยครั้งในฐานะหลานสาวบิ๊กคนดัง ภายหลังเปิดใจให้สัมภาษณ์ผ่านไทยรัฐออนไลน์ครั้งนี้ เชื่อว่าหลายคนคงจะได้รู้จักเธอดียิ่งขึ้น 

"Police Community"