"เมื่อทุกคนรู้ว่าผมกำลังจะถูกประหารชีวิต เพื่อนเราเดินจากเราไปหมด เหลือแต่ครอบครัวเรา ที่ยังยืนเคียงข้างเราอยู่ มีแค่นั้นเองจริงๆ แม้แต่เพื่อนหรือคนที่เราเคยมีบุญคุณกับเขาก็พากันหนีหายไปหมด นอกจากคนที่มีความรู้สึกดีๆ กับผมจริงๆ ซึ่งก็มีไม่มาก จำไว้เลยว่าวันที่เราล้มเราจะรู้ซึ้งถึงแก่นแท้ ว่าใครบ้างที่ดีกับเราจริงๆ" ผู้พันตึ๋ง กล่าว
เล่ายังไงก็คงไม่ระทึก เท่ากับเห็นด้วยตาตัวเอง.....หากย้อนภาพกลับไป เมื่อวันที่ 30 พ.ค. 2544 เหตุการณ์เจ้าหน้าที่หน่วยคอมมานโดกองปราบปราม นำโดย "พ.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง" รอง ผกก.2 ป.(ยศ-ตำแหน่งขณะนั้น) พร้อมหมายศาลบุกจู่โจมเข้าจับกุม "ผู้พันตึ๋ง" หรือ พ.ต.เฉลิมชัย มัจฉากล่ำ ผู้ต้องหาคดีร่วมกันฆ่า นายปรีณะ สีรัตนพันธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร ภายในค่ายมวยศิษย์ผู้พันตึ๋ง ภายในซอยรามคำแหง 39
เกิดเหตุชุลมุนขณะเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุม เพราะผู้ต้องหาโวยวาย พร้อมระบุ การกระทำของตำรวจเข้ามา เป็นวิธีที่ไม่ถูกต้อง ก่อนจะมีวลีเด็ดดังก้องหู สื่อมวลชนที่อยู่ในเหตุการณ์จดจำมาจนวันนี้ "ผมเป็นทหาร คุณจะมาจับผมแบบนี้ไม่ได้" ด้วยท่าทีน้ำเสียงดังลั่น ซ้ำยังออกแอคชั่นไม่ยอมให้จับกุม ถึงแม้เจ้าหน้าที่จะมีการแสดงหมายจับ อ่านให้ฟังอย่างชัดเจน ....แต่สุดท้าย "ผู้พันตึ๋ง" ก็ต้องเข้าไปชดใช้กรรมในคุกเป็นระยะเวลา 10 กว่าปี ก่อนจะได้พักโทษในเวลาต่อมา
...
นักโทษชั้นดี มีสิทธิ์ได้พักโทษ
วันที่ 30 ก.ย.2558 ผู้พันตึ๋ง ได้รับการพิจารณาพักการลงโทษ ถูกปล่อยตัวออกจากเรือนจำกลางบางขวาง โดยต้องไปรายงานตัวกับเจ้าหน้าที่คุมประพฤติ และปฏิบัติตามเงื่อนไขการพักการลงโทษอย่างเคร่งครัด จนกว่าจะครบกำหนดที่สำนักงานคุมประพฤติจังหวัดนนทบุรี ก่อนจะออกมาทำตัวเป็นประโยชน์ต่อสังคม
ในวันนั้น ยังมีกระแสข่าวออกมาให้ได้จับกลุ่มพูดคุยกันในเหล่ากระจอกข่าว ว่า ผู้พันตึ๋ง ได้รับการหนุนหลังจากทหารผู้มีอิทธิพลระดับประเทศรายหนึ่ง ให้การช่วยเหลือเกื้อกูล ก่อนจะเดินเรื่องให้ออกมาพักโทษ ใช้ชีวิตอิสระนอกคุก
เปิดใจกับคนสนิท ชีวิตหลังได้รับการพักโทษ
"เมื่อทุกคนรู้ว่าผมกำลังจะถูกประหารชีวิต เพื่อนเราเดินจากเราไปหมด เหลือแต่ครอบครัวเรา ที่ยังยืนเคียงข้างเราอยู่ มีแค่นั้นเองจริงๆ แม้แต่เพื่อนหรือคนที่เราเคยมีบุญคุณกับเขา ก็พากันหนีหายไปหมด นอกจากคนที่มีความรู้สึกดีๆ กับผมจริงๆ ซึ่งก็มีไม่มาก จำไว้เลยว่าวันที่เราล้ม เราจะรู้ซึ้งถึงแก่นแท้ ว่าใครบ้างที่ดีกับเราจริงๆ" ผู้พันตึ๋ง กล่าว
เขายังบอกด้วยว่า.... ชีวิตในคุกมันไม่ได้สะดวกสบาย นั่งกินนอนกินไปวันๆ นะ มันไม่มีอิสรภาพ คนติดคุกจะให้สบายคงไม่ใช่ พอได้พักโทษออกมาเจอพี่ๆ น้องๆ ก็ดีใจที่น้องมันยังยกมือไหว้เรา ไม่ได้รังเกียจเรา คนที่รักเราก็ยังพอมี ไปไหนมาไหนก็ยังพอมีคนขอถ่ายรูปกับเรา ส่วนคนที่ไม่รู้ไม่เข้าใจก็มี ซึ่งผมไม่ได้ไปถือโทษอะไรเขานะ ให้อภัยหมด
แม้กระทั่งคนที่ให้ร้ายกล่าวโทษจนผมต้องสูญเสียทุกอย่างทั้ง เงินทอง ลาภ ยศ สรรเสริญ แต่ผมก็ให้อภัย ส่วนที่ผมโดนกล่าวหาว่าตัวเองเป็นมาเฟีย สุดท้ายศาลก็ตัดสินออกมาแล้วว่ามันไม่ใช่แบบนั้น แม่ค้าสักคนก็ไม่ได้บอกว่าผมไปเก็บเงินเขา ส่วนสื่อก็ไม่มีใครแก้ข่าวให้ ผมก็ต้องปล่อยเลยตามเลย
อยู่ข้างนอกมีความสุข อิสระ - ขออุทิศตัวเป็นคนดี ทำเพื่อสังคม
"การได้ออกมาอยู่ข้างนอก มันมีความสุขที่สุดแล้ว คือเราอยากจะทานอะไรก็ได้ ไปไหนก็ได้ หรือไปทำอะไรก็ได้ โดยที่เราไม่ได้ไปเบียดเบียนใคร เพราะนั่นคือสิ่งที่ผมมีความสุขที่สุด ผมออกมา ณ วันนี้ผมอยากจะใช้เวลาชดเชยให้กับครอบครัว ทดแทนเวลาที่ผมได้อยู่ข้างใน ที่ผมไม่ได้ดูแลเขา ให้เขาได้มีความสุขที่สุด" ผู้พันตึ๋ง กล่าว
...
นอกจากนี้ ผู้พันตึ๋ง ยังบอกเราด้วยว่า ประสบการณ์ที่เขาได้เจอมา จะนำไปปรับใช้สอนบุคคล เยาวชนที่หลงผิด พร้อมอธิบายให้เข้าใจว่าในคุกมันไม่ใช่แดนเนรมิต หรือสวนสนุกที่ใครๆ ก็อยากเข้าไป มันเหมือนนรกด้วยซ้ำไป และจะตั้งใจเพียรพยายามหมั่นทำความดีจากนี้ตลอดไป
กระทรวงยุติธรรมแจ้งกองปราบ จับกุมเร่งด่วน ปรับเป็นนักโทษชั้นเลว
ต่อมาเวลา 07.00 น. วันที่ 25 ส.ค. พ.ต.อ.อรุณ วชิรศรีสุกัญยา ผกก.2 บก.ป. นำกำลังตำรวจกองปราบปรามเข้าจับกุม "นายเฉลิมชัย มัจฉากล่ำ" หรือ "ผู้พันตึ๋ง" ผู้ต้องหาเด็ดขาดคดีฆาตกรรมนายปรีณะ ลีพัฒนะพันธ์ ผู้ว่าฯ ยโสธร เมื่อปี 2544 ซึ่งอยู่ระหว่างได้รับพิจารณาพักโทษจากกรมราชทัณฑ์ โดยควบคุมตัวที่หน้าหมู่บ้านบดินทรรักษา แขวงพลับพลา เขตวังทองหลาง กทม. ขณะนายเฉลิมชัยนั่งรถยนต์มิตซูบิชิ สีบรอนซ์เทา ทะเบียน ขพ 7852 เชียงใหม่
...
"ผู้พันตึ๋ง" หมดอิสรภาพอีกครั้ง พร้อมถูกปรับเป็น "นักโทษชั้นเลว" ภายหลังกระทรวงยุติธรรมแจ้งมายังกองปราบฯ ขอให้ติดตามจับกุมตัวกรณีเร่งด่วน หลังจากตรวจสอบพบว่า กระทำละเมิดข้อบังคับการขอพักโทษของกรมราชทัณฑ์ ฝ่าฝืนเดินทางออกนอกพื้นที่ควบคุมโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นจำนวนหลายครั้ง ที่สำคัญยังได้รับร้องเรียนเกี่ยวกับพฤติกรรมของนายเฉลิมชัย ว่ามีพฤติกรรมข่มขู่คู่ขัดแย้งในธุรกิจเหมืองพลอยแห่งหนึ่งที่ จ.จันทบุรี ซึ่งตรวจสอบแล้วพบว่ามีข้อเท็จจริงที่สามารถรับฟังได้
สันธนะ ประยูรรัตน์ อดีตตำรวจสีเทาๆ ถูกหมายจับ 9 หมาย
ในขณะที่ "รองต่อ" หรือ พ.ต.ท.สันธนะ อดีตนายตำรวจสันติบาล ที่มีข่าวโด่งดังในฐานะที่ปรึกษาตลาดใหม่ดอนเมือง ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจออกหมายจับทั้งสิ้น 9 หมาย ส่วนพวกอีก 10 คน โดนด้วย รวมทั้งสิ้น 45 หมายจับ ภายหลัง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มอบหมายให้ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว รับผิดชอบดูแลคดีเข้าตรวจค้นสินค้าผิดกฎหมายไร้ อย. ภายในตลาดใหม่ดอนเมือง บานปลายมาจนถึงการออกหมายจับ พ.ต.ท.สันธนะ ประยูรรัตน์
...
อดีตอันโชกโชน ประวัติการถูกจับกุมบ่งบอกถึงเรื่องราวเส้นทางชีวิต ภายหลังถูกออกจากราชการตำรวจ มี "ข่าวคาว" ให้ได้ชิงพื้นที่สื่อเป็นระยะๆ ทั้งหมดทั้งปวงล้วนแล้วแต่เฉียดเส้นยาแดง เฉียดคุกตาราง และถูกกล่าวหาว่าเป็น "มาเฟีย" เนื่องจากมีพฤติกรรมพัวพันกับสิ่งผิดกฎหมายหลายอย่าง... ล่าสุดถูกพ่อค้า แม่ค้า ในตลาดใหม่ดอนเมืองเข้าให้ข้อมูลกับทางคณะทำงาน ถึงกรณีที่ "สันธนะ" เก็บเงินค่าแผงค้ารายเดือน ก่อนจะนำไปสู่การ ออกหมายจับในที่สุด
ผมไม่ใช่มาเฟีย ไม่เคยเก็บเงินใคร
สันธนะ ยืนยันชัดเจน ที่ผ่านมาไม่ได้เป็นมาเฟียเก็บส่วย และเงินที่ได้จากพ่อค้าแม่ค้าคือเงินค่าส่วนกลาง หากตำรวจคิดว่าตนเองเป็นมาเฟีย ก็ให้เจ้าของร้านค้าเดินมาชี้ระบุเลยว่า รองต่อ สันธนะ ประยูรรัตน์ เป็นคนเก็บเงิน แล้วให้ตำรวจมาจับดำเนินคดีได้เลย กำลังรออยู่ ตนเองไม่รู้สึกกลัว ปปง. เพราะไม่ได้ทำผิดอะไร แล้วดูสภาพอย่างนี้ ดูสภาพอย่างตนเองต้องไปเดินเก็บเงิน แบบนั้นมั้ย ดังนั้นหากต้องการที่จะสอบสวน ควรพูดให้ชัดไปเลย
ถูกออกหมายจับ นำทีมบุกค้นห้องพัก
ภายหลังที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว (รอง ผบช.ทท.) ดำเนินคดีกับกลุ่มผู้มีอิทธิพลที่เรียกรับเงินจากผู้ค้าในตลาดใหม่ดอนเมืองว่า ในส่วนการดำเนินคดีกับกลุ่มผู้มีอิทธิพล หลังจากพ่อค้าแม่ค้ากว่า 200 คน เข้าให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน และจากการตรวจค้นสำนักงานที่ตลาดใหม่ดอนเมือง เมื่อช่วงเช้าพนักงานสอบสวน สน.ดอนเมือง ได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติศาลออกหมายจับบุคคลที่เกี่ยวข้อง
เบื้องต้นศาลพิจารณาคำร้องได้อนุมัติหมายจับ พ.ต.ท.สันธนะ ประยูรรัตน์ อดีตรอง ผกก.สันติบาล ในข้อหากรรโชกทรัพย์ จำนวน 9 หมาย เป็นการกระทำต่างกรรมต่างวาระ นอกจากนั้นยังออกหมายจับผู้ร่วมขบวนการอีก 10 คน รวม 45 หมายจับ
*** เส้นทางสีเทาๆ ของ "สันธนะ" อาจจะหนักหน่วงร้ายแรงไม่เท่า เส้นทางชีวิตของ "ผู้พันตึ๋ง" แต่ก็ต้องยอมรับว่า "ถนน" สายที่สันธนะ กำลังเดินอยู่ เป็นถนนสายเดียวกัน เพราะไม่ว่าจะด้วยที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งข้อกล่าวหา กรณีเรียกรับผลประโยชน์ หรือการพัวพันสิ่งผิดกฎหมายสีเทาๆ ก็ล้วนแล้วแต่เข้าอีหรอบเดียวกัน ส่วนจุดหมายปลายทางจะบรรจบกัน หรือสันธนะจะคิดได้ เจอจุดเปลี่ยน เดินฉีกแยกออกไปสู่ถนนอีกสาย หลังถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจคุมตัวครั้งนี้ ก็ต้องรอดูกันต่อไปยาวๆ.