มูลนิธิสืบฯ แถลง จี้รัฐยืนเคียงข้างประชาชน เอาผิด "เปรมชัย" ในคดีล่าสัตว์ ในพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ชี้ องค์ประกอบแห่งคดีครบ เจตนาเข้าไปล่าสัตว์ชัดเจน ไม่ใช่คดีซับซ้อน แนะ ตร.เร่งสรุปสำนวนดำเนินคดี
เมื่อวันที่ 5 มีนาคม มูลนิธิสืบนาคะเสถียร ได้ออกแถลงการณ์ ครั้งที่ 2 เพื่อทวงถามความคืบหน้าคดีล่าสัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร 2561
จากกรณีที่เจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร จับกุม นายเปรมชัย กรรณสูต กับพวกรวม 4 คน ในพื้นที่ที่ไม่อนุญาตให้ตั้งแคมป์ของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และตรวจยึดซากสัตว์ป่าคุ้มครอง พร้อมอาวุธปืน เครื่องกระสุน และปลอกกระสุนปืนนั้น จนวันนี้ผ่านมาครบรอบระยะ 1 เดือนแล้ว แต่การสอบสวนเพื่อดำเนินคดีต่อ นายเปรมชัย กับพวก กลับดำเนินไปอย่างล่าช้าในสายตาของสาธารณชน
...
โดยมูลนิธิสืบนาคะเสถียร ได้แถลงการณ์ ดังต่อไปนี้
1. เมื่อพิจารณาจากพฤติการณ์แห่งคดี พบข้อเท็จจริงว่า นายเปรมชัย กับพวก ลักลอบนำอาวุธปืนซุกซ่อนไว้ในรถ ก่อนขออนุญาตเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าตั้งแต่แรกแล้ว ก่อนที่จะลักลอบเข้าไปตั้งแคมป์ในเส้นทาง และบริเวณพื้นที่ที่ไม่อนุญาตให้เข้าไป ซึ่งเป็นบริเวณที่สงวนไว้สำหรับการอยู่อาศัย และหากินของสัตว์ป่าตามธรรรมชาติอีก แสดงให้เห็นว่า นายเปรมชัย กับพวก มีเจตนาเข้าไปภายในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เพื่อล่าสัตว์มาตั้งแต่แรกแล้ว มิได้มีเจตนาเข้าไปเพียงเพื่อการพักผ่อนอย่างที่กล่าวอ้าง
ประกอบกับเสียงปืนที่ดังมาจากบริเวณที่ไม่อนุญาตให้เข้าไป จึงมีเพียงกลุ่มของ นายเปรมชัย กับพวก เพียงกลุ่มเดียวเท่านั้นที่เข้ามา พร้อมกับอาวุธปืน เครื่องกระสุน และปลอกกระสุน รวมถึงซากสัตว์ป่า และร่องรอยกระสุนบนซากสัตว์ป่า เศษซากกระดูกสัตว์ป่าที่พบในลำห้วย รวมถึงการประกอบอาหารที่ทำมาจากเนื้อสัตว์ป่าที่ตรวจพบในบริเวณที่ตั้งแคมป์ ล้วนเป็นพยานวัตถุสำคัญที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ที่ชัดเจนยิ่งกว่า นายเปรมชัย กับพวก ได้ร่วมกันกระทำความผิดสำเร็จฐานล่าสัตว์ป่าคุ้มครองภายในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแล้ว นอกเหนือจากความผิดฐานร่วมกันมีไว้ในครอบครองของซากสัตว์ป่าคุ้มครอง และฐานซ่อนเร้น และความผิดประกอบอื่นๆ
...
2. จากพฤติการณ์แห่งคดี และพยานหลักฐานที่ปรากฏ ทำให้เห็นได้ชัดว่าคดีนี้ไม่ใช่คดีที่ซับซ้อน จึงขอเร่งรัดให้ฝ่ายที่ดูแลและรับผิดชอบการดำเนินคดี โดยเฉพาะตำรวจ เร่งรัดดำเนินการเพื่อสรุปสำนวน พร้อมส่งความเห็นไปยังอัยการและส่งฟ้องศาลอย่างรวดเร็ว และอย่าพยายามเบี่ยงเบนประเด็นการสอบสวน โดยมุ่งไปสู่การเสาะหาพยานวัตถุที่อาจเปลี่ยนแปลงได้
3. ขอให้ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่องแวดล้อม และรัฐบาล เร่งรัดติดตามคดีนี้อย่างใกล้ชิด และขอให้กรมอุทยานฯ ตรวจสอบดำเนินคดีในชั้นอัยการอย่างรอบคอบก่อนส่งฟ้องศาล เพื่อป้องกันความคลาดเคลื่อนไปจากพฤติการณ์แห่งคดีที่ปรากฏชัดแจ้งนี้
4. ขอให้รัฐบาล หน่วยงานของภาครัฐออกมายืนเคียงข้างประชาชน เพื่อสนับสนุนกิจกรรมทางอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และร่วมกันประณามผู้ที่มีเจตนาในการทำร้ายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เกิดตัวอย่างที่ดีให้แก่สังคมต่อไปในอนาคต
...