พริตตี้สาว แฉไฮโซหนุ่มตระกูลดังตบตีกระชากหัว รัวกระทืบไม่ปรานี หลังขอพริตตี้สาวกอด แต่เธอไม่ยินยอม ไฮโซหนุ่มด่าแรง “*มาขายตัวที่นี่ แล้ว*จะเล่นตัวทำไม” พริตตี้สาว ยันเธอไม่ได้มาขายบริการ ล่าสุด ลุยเอาผิดไม่ยอมความ...
_____________________________
----------------------------
เรื่องราวโดยสังเขป...
- น.ส.ออม (นามสมมติ) นักศึกษาปริญญาโท ประกอบอาชีพพริตตี้สาว เอนเตอร์เทน เธอรับงานเป็นพริตตี้ให้บริการกับลูกค้าในด้านความบันเทิง เช่น เล่นเกม ร้องเพลง สร้างสีสันให้กับลูกค้า โดยที่ไม่มีเรื่องเพศสัมพันธ์เข้ามาเกี่ยวข้อง
- วันหนึ่ง มีโมเดลลิ่งมาติดต่อจ้างงานเธอ ให้ไปเอนเตอร์เทนลูกค้าที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ซึ่งลูกค้าเป็นชาย 5 คน ทุกคนล้วนเป็นบุคคลที่มีหน้ามีตาในสังคม
- ลูกค้าชายท่านหนึ่ง ซึ่ง น.ส.ออม ระบุว่า เป็นไฮโซตระกูลดัง พยายามขอกอดเธอ แต่เธอไม่ยินยอม
- ไฮโซตระกูลดัง จึงตบหน้าเธอ ขว้างปาข้าวของ กระทืบ กระชากหัว และตบตีเธออย่างรุนแรง โดยที่ไม่มีใครเข้ามาช่วยเหลือเธอแม้แต่คนเดียว
- เธอพยายามทวงถามความยุติธรรมมาโดยตลอด ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่การเข้าแจ้งความที่สถานีตำรวจนครบาลบางซื่อ ไปจนถึงการร้องเรียนไปยังมูลนิธิ, หน่วยงานต่างๆ หลายแห่ง แต่คดีก็ยังไม่คืบหน้าเท่าที่ควร
- น.ส.ออม ยังระบุอีกว่า ในช่วงที่ผ่านมายังมีพริตตี้อีกจำนวนหนึ่งที่โดนกระทำในลักษณะเดียวกับเธอ และโดนกระทำจากผู้ชายคนเดียวกัน แต่กลับไม่มีใครต่อสู้กับความอยุติธรรมนี้ เพราะเกรงกลัวอิทธิพลของผู้ก่อเหตุ
- ภายหลังจากเหตุการณ์นี้ ไม่มีโมเดลลิ่ง หรือลูกค้าคนใดจ้างงานพริตตี้ผู้นี้อีกเลย
_____________________________
----------------------------
...
เมื่อพูดถึง “พริตตี้” ภาพในหัวของทุกคนย่อมเป็นภาพหญิงสาวที่มีรูปร่างหน้าตาดี ทักษะการสื่อสารดี ซึ่งปัจจุบัน “พริตตี้” มักถูกจ้างให้ทำงานที่มีความหลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะลักษณะงานที่เรากำลังจะพูดถึงอยู่นี้ “พริตตี้ เอนเตอร์เทน” เนื้องาน คือ การสร้างความบันเทิงใจให้แก่ลูกค้าในงานเลี้ยง หรืองานสังสรรค์ต่างๆ และเป็นที่นิยมอย่างมากในแวดวงของไฮโซ หรือผู้มีฐานะ โดยเงื่อนไขสำคัญระหว่างพริตตี้ กับลูกค้า ก็คือ ไม่ละลาบละ “ล้วง” ล่วงละเมิดทางเพศ ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่สาวพริตตี้หลายต่อหลายคนกลัวที่สุด!
น.ส.ออม (นามสมมติ) วัย 33 ปี นักศึกษาปริญญาโท มหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง บอกเล่ากับทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ถึงฝันร้ายของเธอเมื่อครั้งที่เธอทำงานเป็นพริตตี้ เอนเตอร์เทนว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นช่วงกลางปี 2557 เธอได้รับจ้างงานจากโมเดลลิ่งแห่งหนึ่งให้ไปสร้างความบันเทิงให้กับลูกค้า โดยมีหน้าที่คือ พูดคุย เล่นเกม ร้องเพลง สร้างสีสันภายในงาน และอาจจะต้องมีการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บ้างเล็กน้อย
“ค่าจ้างของงานนี้อยู่ที่ 3,000 บาท โดยเราต้องทำงานตั้งแต่ 22.00-02.00 น. ซึ่งทางเราก็ถามโมเดลลิ่งที่จ้างงานไปว่า งานนี้ไม่มีอะไรที่เสียหายใช่มั้ย เพราะด้วยความที่เป็นงานกลางคืน เราจึงต้องถามเพื่อความปลอดภัย ซึ่งทางโมเดลลิ่งก็ยืนยันกลับมาว่า ไม่มีแน่นอน” เธอจำรายละเอียดของเหตุการณ์ครั้งนั้นได้ดี
เมื่อถึงเวลางาน เธอไปถึงร้านอาหารย่านพหลโยธิน อันเป็นสถานที่นัดหมายตามเวลาที่โมเดลลิ่งกำหนด และได้พบกับลูกค้าชาย 5 ท่าน ซึ่ง น.ส.ออม ระบุกับผู้สื่อข่าวว่า ลูกค้า 5 ท่าน ณ ที่นั้น แต่ละคนค่อนข้างมีหน้าที่การงานที่ดี และเป็นบุคคลที่มีหน้ามีตาอยู่ในสังคมพอสมควร ซึ่งหนึ่งใน 5 เป็นเจ้าของร้านอาหารแห่งนี้ และเป็นลูกหลานของตระกูลดังระดับประเทศ
“เราและน้องพริตตี้อีก 2 คน ก็ทำงานพูดคุยสร้างความสนุกสนานให้กับลูกค้าตามปกติ แต่จู่ๆ โมเดลลิ่งก็ส่งข้อความเข้ามาในกลุ่มไลน์ว่า หากใครจะขึ้นงาน สามารถคุยกับลูกค้าได้เลยนะ ซึ่งคำว่าขึ้นงาน ในภาษาของพริตตี้ด้วยกันก็คือ งานขายบริการทางเพศ ซึ่งเราก็งงว่า ก่อนหน้านี้ เราและโมเดลลิ่งคุยกันมาก่อนแล้วว่า งานนี้จะไม่มีอะไรเสียหาย และไม่มีขายบริการใดๆ ทั้งสิ้น แต่พอมาถึงหน้างาน ทุกอย่างกลับไม่เป็นไปตามที่คุยกันไว้ เพราะฉะนั้น คืนนี้ เราต้องดูแลตัวเองให้ดีที่สุด” น.ส.ออม พริตตี้สาวสวย บอกกับตัวเอง
ในชั่วโมงแรกๆ ของการทำงาน น.ส.ออม ยังคงสร้างความสนุกสนานให้กับลูกค้าตามปกติ โดยมีการเล่นเกม และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บ้างเล็กน้อย จากนั้น พอเข้าช่วงเวลาราวๆ เที่ยงคืนเศษ ลูกค้าชายท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นลูกหลานของตระกูลดัง เรียกเธอให้เข้าไปนั่งข้างๆ และพูดกับเธอว่า “ขอกอดหน่อยได้มั้ย?”
...
“พอเราได้ยินอย่างนั้น เราก็พยายามปฏิเสธเขา โดยใช้คำพูดที่ดีและรักษาน้ำใจกับลูกค้ามากที่สุด แต่เขาก็ไม่ฟัง และยังพยายามเข้ามากอดเราอีก ซึ่งเราไม่ยอม เขาก็เลยตะโกนด่าเราอย่างรุนแรงว่า มึงมาขายตัวที่นี่ แล้วมึงจะเล่นตัวทำไม ที่มึงเล่นตัว เพราะมึงอยากจะอัพค่าตัวใช่มั้ย! ซึ่งเราก็รีบอธิบายให้เขาเข้าใจว่า เรามาทำงานเอนเตอร์เทนให้ลูกค้าเฉยๆ ไม่ได้มาขายบริการ และอย่าเข้าใจผิด” น.ส.ออม รีบขยายความในทันที
“เรายังไม่ทันได้พูดจบ เขาก็ตบเข้าที่หน้าเราฉาดใหญ่ ดุด่าเราด้วยถ้อยคำหยาบคาย ทำร้ายร่างกาย ตบ ตี กระทืบ กระชากผม ใช้ขวดเหล้าขวดเบียร์เขวี้ยงใส่เรา ปาโทรศัพท์มือถือเราจนพัง โดยที่ทุกคนในห้องนั้น ไม่มีใครพยายามจะช่วยเหลือเราแม้แต่คนเดียว จากนั้น เขาก็เอาขวดแก้วตีเป็นปากฉลาม เพื่อจะแทงเรา แต่โชคดีที่บริเวณนั้น มันมีน้ำหกจากขวดที่เขาใช้เขวี้ยงเราเปียกอยู่ที่พื้น จึงทำให้เขาลื่นล้ม โดยที่ยังไม่ได้เข้ามาทำอะไรเรา และเราก็เลยอาศัยจังหวะนี้หนีออกมาจากที่นั่น” น.ส.ออม เล่าถึงวินาทีที่กำลังจะเป็นฝันร้ายของเธอไปตลอดชีวิต
...
ในวันรุ่งขึ้น น.ส.ออม เดินทางไปแจ้งความที่ สน.บางซื่อ แต่คดีความของเธอไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร จนเธอต้องพึ่งพิงมูลนิธิต่างๆ อยู่หลายแห่ง จนในที่สุด คดีดังกล่าวเริ่มมีความคืบหน้าไปมาก และต่อมา เธอได้รับทราบว่า ในช่วงที่ผ่านมายังมีพริตตี้อีกจำนวนหนึ่งโดนกระทำในลักษณะเดียวกับเธอ มิหนำซ้ำยังโดนกระทำจากผู้ชายคนเดียวกัน แต่กลับไม่มีใครต่อสู้กับความอยุติธรรมนี้ เนื่องจากเกรงกลัวอิทธิพลของผู้ก่อเหตุ
“นอกจากจะได้รับบาดเจ็บทางร่างกายแล้ว เหตุการณ์ครั้งนี้ มันยังทำให้เราไม่กล้าออกไปไหน เราเก็บตัวอยู่แต่ในคอนโดนาน 8 เดือนเต็ม ภาพในหัวมีแต่ตอนที่เราถูกทำร้าย มันคอยวนเวียนอยู่ซ้ำๆ อยู่ในหัว พ่อกับแม่ก็เสียใจมากที่เราต้องมาเจอกับเหตุการณ์อะไรแบบนี้ และเราก็ไม่ได้รับงานอะไรเลย เพราะไม่มีใครจ้าง แต่อย่างไรก็ขอยืนยันว่า จะสู้ให้ถึงที่สุด และอยากให้คดีนี้ เป็นตัวอย่างให้กับผู้หญิงคนอื่นๆ ที่ถูกคุกคามทางเพศ และหวังว่า เหตุการณ์ครั้งนี้จะทำให้ผู้หญิงที่ถูกทำร้ายร่างกายและจิตใจ ได้กล้าแสดงตัวมากขึ้น กล้าออกมาปกป้องศักดิ์ศรีของตัวเอง” เธอยืนยันแน่วแน่
“ทางเราได้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิด 3 ข้อหาค่ะ 1.ร่วมกันทำร้ายร่างกาย 2.กักขังหน่วงเหนี่ยวทำให้ไม่ได้รับเสรีภาพ และ 3.ทำให้เสียทรัพย์ ค่ะ” พริตตี้สาว กล่าวถึงรายละเอียดของคดี
...
น.ส.สุเพ็ญศรี พึ่งโคกสูง ผู้จัดการมูลนิธิส่งเสริมความเสมอภาคทางสังคม หรือในฐานะคณะอนุกรรมการด้านสิทธิและความเสมอภาคทางเพศ ในคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า จากกรณีที่ผู้เสียหายเข้ามาเรียกร้องสิทธิกับทางมูลนิธิส่งเสริมความเสมอภาคทางสังคม และสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาตินั้น ตนมีความเห็นว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจริง โดยมูลเหตุสำคัญที่ น.ส.ออม พริตตี้สาว ตัดสินใจเรียกร้องสิทธิให้แก่ตนเองนั้น มาจากพนักงานสอบสวนทำคดีล่าช้าจนเกินกว่าเหตุ เพราะในเมื่อกระบวนการยุติธรรมล่าช้า ย่อมถือว่าผู้เสียหายถูกละเมิดสิทธิ์เช่นกัน
“ณ ขณะนี้ คดีของ น.ส.ออม อยู่ในขั้นตอนของชั้นศาล ซึ่งผู้เสียหายเป็นผู้ฟ้องคดีเอง โดยมีทนายรับมอบอำนาจจากผู้เสียหายเข้าไปเป็นโจทก์ร่วม และในขั้นตอนของการไต่สวนมูลฟ้องนั้น ศาลได้ประทับรับฟ้อง” น.ส.สุเพ็ญศรี กล่าว
“ปัจจุบัน ปัญหาการคุกคามทางเพศ มักจะเกิดขึ้นระหว่างผู้ที่มีสถานะสูง กับบุคคลที่ถูกกดให้อยู่ในภาวะจำยอม และเมื่อบุคคลเหล่านี้ออกมาเรียกร้องสิทธิ์ พวกเขาจะเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้อย่างล่าช้า และอาจจะไม่ได้รับความเป็นธรรม” ผู้จัดการมูลนิธิส่งเสริมความเสมอภาคทางสังคม ทิ้งท้ายด้วยความกังวล.