นายชาตรี อรรจนานันท์ อธิบดีกรมการกงสุล เป็นประธานประชุมเจ้าหน้าที่กงสุลโลก 88 แห่ง ติวเข้มนวัตกรรมบริการใหม่ ขอให้ทุกคนมองไปข้างหน้า ช่วยกันคิดนำบริการใหม่มาบริการประชาชน
เมื่อวันที่ 7ส.ค. 2560 เวลา 09.00 น. นายชาตรี อรรจนานันท์ อธิบดีกรมการกงสุล ได้เป็นประธานเปิด ประชุมเจ้าหน้าที่กงสุลทั่วโลก ประจำปี 2560 ที่ห้องนภาลัย โรงแรมดุสิตธานี โดยมีเจ้าหน้าที่กงสุลจากสถานเอกอัครราชทูต และสถานกงสุลใหญ่ 88 แห่งทั่วโลก เข้าร่วมประชุม
นายชาตรี กล่าวว่า งานกงสุล คือ หัวใจสำคัญของงานการทูตเพื่อประชาชน และเป็นสิ่งที่รัฐบาลให้ความสำคัญ เรียกได้ว่า ทุกครั้งที่ประชาชนพูดถึงงานของกระทรวงการต่างประเทศ มักจะมองไปที่งานกงสุลเป็นลำดับต้นๆ โดยเฉพาะงานหนังสือเดินทาง งานคุ้มครองดูแลคนไทยในต่างประเทศ และงานนิติกรณ์ ที่ทวีความสำคัญมากขึ้น
นายชาตรี กล่าวย้ำว่า กงสุล คือ “ผู้ขับเคลื่อนหลัก (main actor)” ของนโยบายการทูตเพื่อประชาชนไทยในต่างประเทศ กรมการกงสุลและเจ้าหน้าที่กงสุลทุกคนต้องช่วยกันคิดและมองไปข้างหน้า โดยอาศัยนวัตกรรมด้านกงสุลใหม่ๆ มาใช้สร้างสรรค์การทำงานบริการประชาชน งานของเจ้าหน้าที่กงสุลไทยเป็นผลงานสำคัญ เป็นหน้าเป็นตา เป็นความภาคภูมิใจของกระทรวงการต่างประเทศ เพราะเป็นงานที่สัมผัสเข้าถึงประชาชนคนไทยในต่างประเทศ ทำให้ประชาชนได้รับความสะดวก ได้รับการบริการที่ทั่วถึงและรวดเร็ว ซึ่งคำชื่นชมต่างๆ ช่วยส่งเสริมชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของกระทรวงฯ รวมทั้งภาพลักษณ์ด้านงานการกงสุลของประเทศไทย
...
สำหรับนโยบายที่กระทรวงการต่างประเทศ มอบให้เจ้าหน้าที่กงสุลทั่วโลก ในการประชุมและอบรมสัมมนาครั้งนี้ ได้แก่ ประการแรก ในโลกยุคใหม่ที่คนไทยเดินทางไปต่างประเทศมากขึ้น ไปพำนักอาศัยในต่างประเทศมากขึ้น สถานการณ์ระหว่างประเทศมีพลวัตรมากขึ้น ภัยพิบัติต่างๆ หรือ ภัยก่อการร้ายกลายเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวเข้ามายิ่งขึ้น การถูกหลอกลวงไปทำงานในต่างประเทศ เป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายดายผ่านสื่อ social ต่างๆ สิ่งเหล่านี้เป็นโจทย์ใหญ่ที่ กรมการกงสุล และเจ้าหน้าที่กงสุลทุกคนต้องช่วยกันคิดเพื่อหาทางรับมือ รวมทั้งการมองไปข้างหน้าที่จะอาศัยนวัตกรรมด้านกงสุลใหม่ๆ มาใช้สร้างสรรค์การทำงานบริการประชาชน
ประการที่สอง กระทรวงฯ อยากเห็น การกงสุลของไทยมุ่งสู่การเป็น smart & best service เป็นผู้นำในภูมิภาคมีมาตรฐานสากล และมีประชาชนเป็นศูนย์กลางในการให้บริการ (citizen-centric service) ได้รับความเชื่อมั่นจากประชาชน ตามแผนยุทธศาสตร์และนโยบายการทูตเพื่อประชาชนของรัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศ สิ่งที่ได้ดำเนินการไปแล้ว อาทิ การพัฒนาระบบการจองคิวขอทำหนังสือเดินทางออนไลน์ การให้บริการด้านข้อมูลแบบ 24 ชั่วโมง ผ่านระบบสายด่วน Call Center และผ่านระบบ Mobile Application ภายใต้ชื่อ “Thaiconsular” เพื่อให้ข้อมูลและช่วยเหลือด้านการกงสุล รวมทั้งเพิ่มช่องทางติดต่อกรมการกงสุลผ่าน Social Media ที่ได้รับความนิยมต่าง ๆ เช่น Facebook Application LINE และ WeChat เป็นต้น ซึ่งผลงานเหล่านี้ได้รับการตอบรับที่ดีจากประชาชนจำนวนมาก
ขณะนี้ กรมการกงสุลอยู่ระหว่างการดำเนินโครงการอีกหลายโครงการ อาทิ การจัดทำแบบฟอร์มเอกสารราชการ 2 ภาษา การเชื่อมโยงฐานข้อมูลการรับรองเอกสารด้วยวิธีอิเล็กทรอนิกส์ (i – Legalization) การพัฒนาระบบการตรวจลงตราแบบอิเล็กทรอนิกส์ (E – Visa) การจ้างผลิตและให้บริการจัดทำหนังสือเดินทางอิเล็กทรอนิกส์เพิ่ม (Repeat Order) จำนวน 3.5 ล้านเล่ม ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 18 เดือน การเตรียมความพร้อมสู่โครงการหนังสือเดินทางอิเล็กทรอนิกส์ ระยะที่ 3 และการทำ Linkage Center เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลทางทะเบียนกับกระทรวงมหาดไทย เป็นต้น
ประการสุดท้าย และที่สำคัญที่สุด คือ ให้ กงสุลของไทยเป็น “กงสุลของประชาชน” ทำงานเพื่อประชาชนด้วยใจ เป็นที่พึ่งของคนไทยในต่างประเทศ รวมทั้งยึดมั่นแนวทางและค่านิยมในการทำงาน เพื่อพัฒนาตนเองไปสู่การเป็นนักการทูตและเจ้าหน้าที่กงสุลที่คิดกว้างสร้างสรรค์ มีความรับผิดชอบ มีความน่าเชื่อถือ และเป็นมืออาชีพ (CARE : Constructive-Accountable-Reliable-Excellent) กรมการกงสุลและกระทรวงฯ ตระหนักดีถึงความสำคัญของกงสุลที่ออกไปทำงานในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก เป็นด่านหน้าในการติดต่อให้บริการประชาชนไทยในต่างประเทศ จึงพร้อมที่จะให้ความสนับสนุนในด้านต่างๆ เพื่อให้การทำงานของเจ้าหน้าที่กงสุลไทยในต่างประเทศเป็นไปโดยราบรื่นและบรรลุเป้าหมาย การอบรม/สัมมนาในวันนี้ จะเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้งานกงสุลของกระทรวงการต่างประเทศ ก้าวหน้าสู่ความเป็นเลิศ เป็น smart & best service และเจ้าหน้าที่กงสุลสามารถดำเนินงานด้านกงสุลเป็นประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนชาวไทยทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ภายหลังพิธีเปิดการอบรมแล้ว วันแรกเจ้าหน้าที่กงสุลที่มาร่วมประชุมได้ร่วมสัมมนาและอบรมด้านการทำงานต่างๆ เพิ่มเติมด้วย ได้แก่ การทบทวนแนวปฏิบัติการลงตรา, มาตรการดึงดดูผู้ที่มีทักษะสูงให้เข้ามาทำงานในประเทศไทยตามนโยบาย Thailand 4.0, ระบบตรวจลงตราอิเล็กทรอนิกส์ (e-Visa) และอนาคตงานตรวจลงตราของไทย และเวิร์คช็อปการหารือและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างเจ้าหน้าที่กงสุล กับหน่วยงานความม่ันคง ซึ่งการประชุมเจ้าหน้าที่กงสุลโลก จะมีการประชุมไปจนถึงวันที่ 10 ส.ค.นี้.
...