ฉก.พญาเสือ คำรามลั่น ระดมกำลังกว่า 100 นาย ตรวจยึดที่ดินรุกป่าอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย พบมีการซื้อขายเปลี่ยนมือโดยผิดวัตถุประสงค์จำนวนมาก ด้าน 'ชัยวัฒน์' หน.ชุดฯ ยันไม่สนเป็นของผู้มีอิทธิพล-ผู้ใหญ่ในบ้านเมือง บอกผิดถูกว่ากันตามกฎหมาย...

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 8 มี.ค.นี้ นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าชุดปฏิบัติการเฉพาะกิจพญาเสือ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช พร้อมด้วย นายกริชสยาม คงสตรี หัวหน้าอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย และชุดปฏิบัติการเฉพาะกิจพญาเสือ รวมจำนวนกว่า 100 นาย เข้าปฏิบัติการยึดคืนผืนป่า ภายในเขตอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย โดยบุกตรวจพื้นที่ ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ใกล้บริเวณโดยรอบศูนย์ดับไฟป่า

จากการตรวจสอบพบว่า ได้มีการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างอย่างผิดกฎหมาย ภายในเขตอุทยานแห่งชาติฯ จำนวนมาก ซึ่งเป็นการปฏิบัติการลงพื้นที่ต่อเนื่องวันที่ 2 โดยมีเป้าหมายจำนวน 5 แปลงใหญ่ ได้แก่ บ้านไม่มีเลขที่ จำนวน 2 หลัง บริเวณใกล้กับวัดร่ำเปิง, หอพักแทนคุณ เลขที่ 12/24 หมู่ 5 ต.สุเทพ และสถานประกอบการสปา สวนทิพย์เมฆชลานันท์ เลขที่ 16/1 หมู่ 5 ต.สุเทพ และบ้านเลขที่ 70 หมู่ 5 ต.สุเทพ

โดยการตรวจสอบในครั้งนี้ สืบเนื่องมาจากที่เจ้าหน้าที่ได้มีการเปรียบเทียบภาพถ่ายทางอากาศ และได้มีการตรวจพบว่ามีพื้นที่บางส่วนที่ได้มีการก่อสร้างรุกล้ำในเขตอุทยานแห่งชาติฯ จริง ทางเจ้าหน้าที่จึงได้มีการนำกำลังไปตรวจสอบ ซึ่งพบว่าบางจุดเป็นที่รัฐบาลได้มีการให้สิทธิ์เป็นที่ทำกิน แต่ได้มีการซื้อขายเปลี่ยนมือ รวมถึงการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งถือเป็นการใช้งานพื้นที่ผิดวัตถุประสงค์ และมีบางส่วนซึ่งได้มีการรุกเขตอุทยานฯ ทั้งนี้ทางเจ้าหน้าที่จะได้มีการตรวจสอบถึงที่มาที่ไป และความถูกต้องในการครอบครองเอกสารสิทธิ ถ้าเกิดพบว่ามีการกระทำความผิด ทางเจ้าหน้าที่ก็จะได้ดำเนินคดีตามกฎหมาย

...

นายชัยวัฒน์ เปิดเผยว่า สำหรับการเข้าดำเนินการในวันนี้ ตั้งแต่ช่วงเช้าที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ได้เข้าทำการตรวจสอบแปลงที่ดินตามมติ ครม. ที่มีการครอบครองและขยายโดยการทำรั้วแนวเขตเพิ่มขึ้นจากเดิม จากที่ทางเจ้าหน้าที่ได้มีการสำรวจครั้งแรกพบว่ามีพื้นที่เพียง 1 ไร่เศษ แต่เมื่อเข้าทำการสำรวจอีกครั้งกลับพบว่า มีการทำรั้วเพิ่มเติมประมาณ 10 กว่าไร่ ดังนั้นพื้นที่ที่เกินและอยู่ในการครอบครองจะต้องดำเนินการขอยึดคืนทั้งหมด โดยมีการสำรวจพันธุ์ไม้และรายละเอียดโดยรอบว่า มีไม้เดิมเท่าไหร่ และไม้ที่เกิดขึ้นใหม่เท่าไหร่ โดยอาศัยด้านวิชาการ ดำเนินการควบคู่ไปกับการเพิกถอนสิทธิ์ และในส่วนช่วงที่ต่อเป็นบริเวณแนวเขตของอุทยานฯ ก็มีการสร้างสิ่งปลูกสร้างในเขตชุมชนโดยที่ไม่ได้แจ้ง และไม่ได้มีการครอบครองเดิม โดยจากการตรวจสอบพบว่า บริเวณนี้มีแปลงตามมติ ครม. 30 มิ.ย.41 ที่มีผู้ครอบครองและแจ้งสิทธิ์ แต่ก็ไม่ได้มีความถูกต้องทั้งหมด โดยต้องรอการพิสูจน์สิทธิ์ ว่ามีบุคคลใดมาก่อนหรือหลังการประกาศของอุทยานฯ หรือการประกาศของป่าสงวนแห่งชาติ และป่าคุ้มครอง ก็จะต้องดำเนินการไปตามระเบียบต่อไป

"ในการตรวจสอบแต่ละแห่งล้วนแต่มีกลุ่มอิทธิพลเข้ามาแฝงอยู่ ซึ่งตรงตามที่ชุด  ฉก.พญาเสือ ที่จะทำกับที่ดินที่ค่อนข้างจะมีอิทธิพลและนายทุน เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ทำงานลำบาก มักจะถูกข่มขู่ และในพื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย มีปัญหาในเรื่องที่ดินที่ถูกยึดครองมากมาก ทำปีหนึ่งก็ไม่รู้จะเสร็จหรือไม่ ตามแนวตะเข็บป่าอุทยานฯ มีปัญหาหมด บางคนทำอาชีพสุจริตและได้ที่ดินมาแบบสุจริต แต่ที่มีการซื้อขายเปลี่ยนมือ จะถูกดำเนินคดีแน่ๆ จะไม่เอาไว้เลย ยิ่งพื้นที่ค่อนข้างจะเป็นที่สุ่มเสี่ยงกับพนักงานเจ้าหน้าที่ที่จะถูกฟ้องร้องกลับจะต้องมีการตรวจเช็กอย่างละเอียด หากพบผิดแน่นอนจะต้องดำเนินการ เหมือนเช่นการตรวจเมื่อวันที่ 7 มี.ค. พบที่แห่งหนึ่งมีการลงทุนในพื้นที่ถึงพันล้านบาท จะมีการตรวจสอบหลักฐานอย่างแน่นหนาก่อน ส่วนที่มีข่าวบ้านและที่ดินที่ตรวจสอบเป็นของผู้มีอิทธิพลหรือผู้ใหญ่ในบ้านเมืองจะทำอย่างไร  เรื่องนี้ตนขอบอกว่าตนไม่สนใจ และยิ่งเป็นเคสเช่นนี้ ตนจะดำเนินการทันที หากไม่ทำ เขาก็อยู่สบาย ผิดถูกก็ต้องว่ากันไปตามกระบวนการชั้นศาล หากเขาได้มาโดยชอบ ก็ว่ากันไปตามนั้น ประชาชนที่ได้มาโดยสุจริต สร้างบ้านใหญ่หน่อยก็ต้องให้เขาทำ แต่หากซื้อขายเปลี่ยนมือ ก็ต้องดำเนินการทันที ส่วนเรื่องการข่มขู่เจ้าหน้าที่ป่าไม้รวมทั้งตนเองมันมีอยู่แล้ว แต่ผมไม่กลัวเพราะทำตามหน้าที่ และจะทำในทุกๆ อุทยานฯ ที่ถูกบุกรุก" หน.ฉก.พญาเสือ กล่าว.