ก้าวเข้าสู่ศักราชใหม่อย่างเป็นทางการแล้ว... ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ขอกราบสวัสดีพี่น้องประชาชนทุกคน ปีที่ผ่านมา เราพยายามสร้างสรรค์ผลงานต่างๆ มากมายมานำเสนอ และในปีนี้เราจะเดินหน้าพัฒนางานอย่างเต็มที่ และทำงานหนักยิ่งขึ้นเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนทุกคน...

สำหรับรายงานพิเศษที่จะนำเสนอต่อไปนี้... คือรายงานสุดพิเศษ ที่ใช้เวลาเดินทางไปกลับ เกือบ 1,500 กิโลเมตร กับระยะเวลา 2 วันเต็ม ๆ โดยเป็นรายงานพิเศษต่อจากสกู๊ป “พระปรีชา ร.10 ผู้ทรงกล้าหาญ ปกป้องประชาจากภัยคุกคาม” ซึ่งถือเป็นการตามรอยพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร หรือ ในหลวง รัชกาลที่ 10 เมื่อครั้งยังดำรงตำแหน่ง สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามกุฎราชกุมารในการเสด็จเยี่ยมให้กำลังใจเหล่าทหารหาญในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดน ประกอบด้วย เพชรบูรณ์ พิษณุโลก และ จ.เลย เมื่อครั้งยังมีปัญหากับกลุ่มคอมมิวนิสต์ ในระหว่างปี 2519-2520

...

บันทึกการเดินทางตามรอยเสด็จ พระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10

ช่วงเช้ามืด (แบบมืดมากเพิ่งข้ามเข้าวันใหม่ได้เพียงหนึ่งชั่วโมง) วันหนึ่งใกล้สิ้นปี พ.ศ.2559 ทีมเฉพาะกิจ พร้อมด้วยช่างภาพไทยรัฐออนไลน์ ได้มาเตรียมความพร้อม ณ สำนักงานไทยรัฐ เลขที่ 1 ถนนวิภาวดีรังสิต ก่อนจะล้อหมุนในเวลา 02.00 น. มุ่งหน้าสู่เป้าหมายแรก คือ “บ้านนาจาน” ณ จ.พิษณุโลก

การเดินทางในเวลากลางคืนนั้น มีสิ่งที่ต้องระมัดระวัง เพราะรถราที่วิ่งยามค่ำคืนนั้นค่อนข้างรวดเร็ว สารถีของเราจึงต้องระมัดระวังในการขับรถเป็นพิเศษ แต่ก็มีบางช่วงบางตอน ที่สามารถทำเวลาได้ และจากการทำการบ้านมาอย่างดี ทำให้แผนที่เราวางไว้ บรรลุผลในเบื้องต้น...คือ เราถึงตัวเมืองพิษณุโลก ในเวลาประมาณ 6 นาฬิกา

เมื่อถึงที่หมาย ทีมข่าวฯ ได้นัดแนะกับ นักข่าวภูมิภาคประจำจังหวัดพิษณุโลก ซึ่ง “พี่ยุทธ์” ของเราได้อำนวยความสะดวกเป็นอย่างดี แถมยังพาพวกเรามารับประทาน เกาเหลาเลือดหมู ร้านดัง “ศ.โภชนา” ณ เมืองสองแคว เสียด้วย

ย้อนรอยพระบาท “บ้านนาจาน” คือ เป้าหมายแรกที่เราจะไป...

เมื่อเติมพลังกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราก็ไม่รอช้าเดินหน้าสู่จุดหมายแรก “อดีตฐานปฏิบัติการบ้านนาจาน” ทั้งนี้ เมื่อปี 2519 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ครั้งยังดำรงตำแหน่ง สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามกุฎราชกุมาร ได้เสด็จฐานปฏิบัติการบ้านนาจาน ในสมัยนั้นฐานแห่งนี้เปรียบเสมือนด่านหน้าที่จะสกัดศัตรู พระองค์ทรงแนะนำวิธีการตั้งรับปรับค่ายให้กับเจ้าหน้าที่รวมถึงกล่าวให้กำลังใจกับเหล่าตำรวจ ทหาร  เจ้าหน้าที่ และ อส. ด้วย

สำหรับการเดินทางจากตัวเมืองพิษณุโลกไปยังฐานปฏิบัติการบ้านนาจาน ห่างกันเป็นร้อยกิโลเมตร ทีมข่าวใช้เวลาเดินทางเกือบ 2 ชั่วโมง กระทั่งถึงหมู่บ้านเป้าหมายที่ตั้งใจไว้...

…ก้าวแรกที่ลงจากรถ พบว่าหมู่บ้านแห่งนี้บรรยากาศร่มเย็นแต่ก็มีแดดแรง ที่โชคดีคือเราและทีมงานเดินทางช่วงหน้าหนาว ทำให้อากาศไม่ร้อนมาก เรียกว่า หากหลบแดดในที่ร่มอยู่ก็ยังได้รับลมเย็นๆ ปะทะร่างอยู่บ้าง ความรู้สึกที่สัมผัสได้ทันทีคือ หมู่บ้านแห่งนี้มีความเงียบสงบ ร่มเย็น มีชาวบ้านอาศัยในพื้นที่ประมาณ 500 คน (จริงๆ มีชื่อในทะเบียนบ้าน 725 ราย) ที่เหลือได้เดินทางไปทำงานอยู่นอกพื้นที่

...

“สวัสดีค่ะ...” เสียงมาก่อนตัว

ผู้ใหญ่บ้านสาวหมู่ 4 นาม “บัววิว ลาสม” มารอทีมข่าวฯ หลังจากนัดแนะกันไว้ก่อน เธอก็มาเฝ้ารอการเดินทางมาเยือนของพวกเรา นอกจากนี้ เธอยังแนะนำให้เรารู้จักอีกชาวบ้านและผู้อยู่ร่วมเหตุการณ์อีก 3 ท่านให้เรารู้จัก ประกอบด้วย นายลอย แรงคง ผู้ใหญ่บ้านหนุ่มใหญ่วัย 49 ปี ผู้ใหญ่บ้านข้างเคียง หมู่ 9  ซึ่งดูแลรับผิดชอบครอบคลุม เนินที่เคยเป็นสนามรบ, ร.ต.ต.ประทีป เผื่อนขวัญ ข้าราชการบำนาญวัย 64 ปี อดีต ตชด. ประจำฐาน ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ เป็นคนฉายพระรูป สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ครั้งที่เสด็จพระราชดำเนินมาพระราชทานกำลังใจเจ้าหน้าที่, นายพัน แสงคำ อายุ 76 ปี ชาวบ้าน บ้านนาจานโดยกำเนิด

หลังจากเดินทางมาหลายร้อยกิโลเมตร ในที่สุดเราก็ถึงจุดหมายแรก ด้วยความใจร้อน จึงชักชวนจับกลุ่มนั่งคุยกันเลย...

...

บัววิว ผู้ใหญ่บ้านสาว เล่าให้ฟังว่า...

"ฉันเกิดที่หมู่บ้านแห่งนี้ ตอนที่พระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินมา ยังเป็นเด็ก ไม่ค่อยรู้ประสีประสาอะไร แต่ อดีตผู้ใหญ่บ้าน หนู รอดพ่าย อดีตผู้ใหญ่บ้าน เคยเล่าให้ฟังว่าแถวบ้านมีหลุมหลบภัยเยอะ พอได้ยินเสียงปืนทีไรก็จะวิ่งหลบลงใต้ถุนบ้าน โดยใต้ถุนบ้านก็จะมีหลุมหลบภัย โดยมีเยอะมากเกือบทุกที่ แม้กระทั่งในโรงเรียน" บัววิว เริ่มย้อนอดีตให้เราฟัง พร้อมกล่าวต่อว่า

...มีอยู่ครั้งหนึ่ง กลุ่ม ผกค.มาซื้อของ เพราะที่บ้านขายของชำ ตอนนั้นเราเป็นเด็ก เราก็ไปขายให้ เขาก็ไม่ได้พูดอะไรมาก แค่บอกว่า “มาซื้อเสบียงเท่านั้น” เขาบอกว่าถ้าไม่ขายอาจจะทำร้ายก็ได้ เราจึงหยิบของขายให้ อย่างไรก็ดี ในปัจจุบัน หลุมหลบภัยเหล่านี้อาจะมีหลงเหลืออยู่ในป่า แต่ในส่วนบ้านคนเขาคงกลบกันไปหมดแล้ว

...นี่คือสิ่งที่บัววิว ผู้ใหญ่บ้านสาวจำได้ 

...

ถามว่าใครรู้ดีที่สุดก็ต้องคนที่อยู่ในเหตุการณ์ คนนั้นก็คือ ร.ต.ต.ประทีป เผื่อนขวัญ

ร.ต.ต.ประทีป กล่าวว่า วันนั้นตนจำได้ดี รับหน้าที่เป็นผู้บังคับหมู่ ทำหน้าที่ทั่วไปคือการช่วยเหลือประชาชน ช่วงนั้นกลุ่มคอมมิวนิสต์เริ่มขยายอิทธิพลเข้ามาในพื้นที่ อ.ชาติตระการ และ อ.นครไทย การตั้งฐานตรงนี้ก็เพื่อป้องกันการรุกคืบเข้ามา รวมถึงการให้ข่าวสารที่ถูกต้อง ซึ่งกลุ่มคอมมิวนิสต์ขณะนั้น พยายามปล่อยข่าวโฆษณาชวนเชื่อต่าง ๆ

วันนั้นที่พระองค์ท่านเสด็จมาถึงฐาน เหล่าทหาร ตชด. และ อส. ต่างปลาบปลื้มในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น หลังจากพระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินมาถึง ผบ.ฐาน ก็พาเสด็จดำเนินตรวจฐาน การวางกำลัง ซึ่งพวกเราทราบว่า พระองค์เพิ่งสำเร็จการศึกษาด้านการทหารมาจากประเทศออสเตรเลีย พระองค์ท่านทรงแนะนำเหล่าทหาร และ ผบ.ฐาน ให้รู้กลวิธีการตั้งรับ เวลาข้าศึกโจมตีเราควรจะรับแบบไหน หลังจากตรวจเยี่ยมเสร็จ พระองค์ท่านก็เสด็จไปที่ฐาน น้ำกุ่ม อ.นครไทย ซึ่งพวกเราเองไม่มีใครทราบมาก่อนว่าท่านจะเสด็จกลับมาค้างแรมที่ฐานแห่งนี้

"ตอนนั้นพวกเรากำลังแต่งตัวกันแบบสบาย ๆ นุ่งกางเกงขาสั้น...(เล่าพรางอมยิ้ม) แต่แล้วก็เห็น เฮลิคอปเตอร์ พระที่นั่ง ซึ่งเห็นชัดว่าเป็นเฮลิคอปเตอร์ลำสีฟ้าบินกลับเข้ามา หลังจากลงจอด ผมวิ่งไปที่ ฮ. คิดว่าทหารคงลืมอะไรไว้...แต่ไม่ใช่ ผมเห็นพระองค์ท่านลงมา ท่านทรงตรัสถามว่า

“ผบ.ฐานไปไหน?” (โดยปกติแล้ว ผบ.ฐานจะมารับ)

“ผบ.ฐานขออนุญาตผู้ว่าฯ จะพาลูกชายไปสอบเตรียมทหารครับผม”

พระองค์ท่านไม่ทรงตรัสแต่อย่างใด...จากนั้น พระองค์ท่านทรงดำเนินเข้าไปที่บังเกอร์ โดยมีชุดอารักขาตามพระองค์ตามมาสมทบ

ในคืนนั้น พระองค์ทรงบรรทมในร่องดิน (สนามเพลาะ) โดยพวก ตชด. เขาเรียกกันว่าเบิม ส่วนเวลากลางคืน พระองค์ท่านยังได้ร่วมตรวจความปลอดภัยของฐาน และร่วมเสวยอาหารกระป๋องร่วมกับ ตชด. ทหาร และ อส. ซึ่งคืนนั้นพระองค์ท่านเองก็บรรทมในชุดเดิมในหลุมสนามเพลาะเล็ก ๆ

อดีต ตชด. ผู้ร่วมปกป้องชาติ กล่าวว่า ส่วนตัวแล้ว ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไม สมเด็จพระบรมฯ ได้เสด็จมาค้างแรมที่ฐานปฏิบัติการแห่งนี้ ซึ่งนับเป็นฐานเล็กๆ ไม่มีปืนใหญ่ ใกล้ชายแดนที่มีอันตราย มีกำลังประจำเพียง 30 นาย เท่านั้น ซึ่งตามกำหนดการแล้ว พระองค์จะต้องไปค้างแรมที่ฐานน้ำกุ่ม ด้วยเหตุนี้จึงทำให้พวกเรา ตำรวจ ทหาร ที่ประจำอยู่รู้สึกปลื้มปีติเป็นล้นพ้น รู้สึกว่า ขนาดเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินยังลงมาตรวจเยี่ยม เป็นกำลังใจ พวกเราได้คุยกับพระองค์ท่านด้วยคำสามัญ ไม่ได้ใช้ราชาศัพท์

ส่วนในมุมของชาวบ้านนั้น นายพัน บอกเล่าว่า ก่อนที่พระองค์ท่านจะเสด็จพระราชดำเนิน แถวนี้มีเหตุยิงกัน ทำให้ ตชด. ผู้เสียชีวิตถึง 7 ศพ ผู้คนอยู่ด้วยความหวาดระแวง ไม่ไว้เนื้อเชื่อใจกัน ตอนนั้น ยังอายุไม่มาก ไม่เคยเจอเหตุการณ์ในลักษณะนี้มาก่อน แต่เมื่อพระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินมาที่หมู่บ้าน มาที่ฐานปฏิบัติการ พวกเราชาวบ้านก็มารอต้อนรับ ชาวบ้านทุกคนรู้สึกอุ่นใจเป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้ ในเวลาต่อมา ก็ได้มีการจัดตั้งกลุ่มอาสาป้องกันภัยให้กับหมู่บ้าน โดยมีการฝึกการป้องกันตนเองให้กับชาวบ้าน ทำให้ชาวบ้าน ณ ที่แห่งนี้รู้สึกอุ่นใจเป็นอย่างยิ่ง และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านเป็นล้นพ้น

เมื่อคุยกันได้สักพักแล้ว เราจึงขอให้ “ผู้ใหญ่ลอย” นำพาพวกเราไปดูอดีตฐานปฏิบัติการบ้านนาจาน...

ระหว่างทาง เราไม่สามารถนึกภาพออกว่า อดีตที่นี่เป็นอย่างไร แล้วปัจจุบันเป็นอย่างไร...เราขึ้นรถขับตามกันเป็นขบวน แค่เพียงอึดใจก็ถือพื้นที่ดังกล่าว

ณ เนินเขาเล็กๆ สูงจากพื้นปกติ 3-4 เมตร มีพืชพรรณเขียวขจี ผู้ใหญ่ลอย ได้เดินนำเราขึ้นไป โดยมีคณะของเราเดินตามขึ้นไป เมื่อไปถึง เห็นบ้านใหญ่หลังหนึ่งตั้งตระหงาดอยู่ สร้างด้วยไม้สวยงาม นอกจากนี้ ยังมีกระต๊อบหลังเล็กๆ อีก 2 หลัง คล้ายกับไว้เก็บของ ร.ต.ต.ประทีป ซึ่งเดินตามมา ก็บรรยายให้เราฟังโดยพลันว่า

“ที่นี่เมื่อก่อนเต็มไปด้วยร่องหลุม ซึ่งได้ขุดไว้รอบฐาน ใช้สำหรับยิงต่อสู้กับกลุ่ม ผกค.”

ร.ต.ต.ประทีป พูดพลางชี้ไม้ชี้มือ โดยเขาเดินขึ้นมายังจุดกลางเขา พร้อมกับชี้แล้วพูดว่า “นี่แหละ...ตรงนี้ คือที่ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เคยประทับข้างแรมในร่องกลางฐาน พระองค์ท่านบรรทมตรงนี้”

ในขณะที่ด้านหลังของบ้านหลังใหญ่(ในปัจจุบัน) จะมีภูเขาสูงอยู่ ร.ต.ต.ประทีป จึงชี้ไปทางนั้น แล้วพูดว่า “ตรงนั้นคือค่ายของ ผกค. เรียกว่า “ผาแดง” มีการยิงลงมาจากภูเขา ซึ่งจากตรงนั้นจะยิงมาไม่ถึงค่าย หากจะโจมตีค่ายจะต้องลงมาจากบนเขา เข้ามาใกล้กว่านี้ ซึ่งเราก็จะอยู่ในชัยภูมิที่ได้เปรียบกว่า เมื่อพระองค์ท่านมาถึง พระองค์ท่านทรงแนะนำวิธีการป้องกันการซุ่มโจมตีซึ่งสามารถนำมาใช้ได้เป็นอย่างดี”

จากการเดินสำรวจรอบเนินดังกล่าว ทีมข่าวฯ ยังพบร่องรอยที่เคยใช้เป็นสนามเพลาะ แต่เนื่องจากมีการปลูกพืชขึ้นจนคลุมเขาทั้งเนิน หากเราไม่สังเกต ก็จะไม่เห็นร่องรอยนั้น ส่วนพื้นที่ ที่ในหลวง รัชกาลที่ 10 เคยประทับค้างแรม ปัจจุบันมีการนำดินมากลบ เป็นเนินว่างเปล่าเสียแล้ว

และระหว่างที่กำลังเดินสำรวจและพูดคุยอยู่นั้น เราก็เจอกับเจ้าของบ้าน เธอคือ นางเกลี้ยง พุดฉิม อายุ 55 ปี เธอเล่าว่า ที่นี่เริ่มสงบตั้งแต่ปี พ.ศ.2521 จากนั้น ปี 2522 ก็เริ่มที่จะเข้ามาอยู่ จากนั้นพ่อของตนก็ได้ครอบครองในปี พ.ศ.2525 โดยมีโฉนดที่ดิน นส.3 ก โดยรู้ว่าเป็นฐานปฏิบัติการของ ตชด.เก่า หลังจากที่นี่สงบเขาก็มีการเก็บอาวุธต่างๆ ออกไปหมด เหลือแต่เพียงปอกกระสุนต่างๆ พร้อมทั้งกลบที่ดินที่เคยขุดไว้เป็นร่องๆ

“ส่วนตัวแล้วเราก็รู้สึกว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ท่านเคยเสด็จมาร่วมให้กำลังใจเหล่าตำรวจในพื้นที่ ทีแรกก็ไม่ทราบ แต่เมื่อทราบก็รู้สึกดีใจปลื้มใจเป็นอย่างยิ่ง” นางเกลี้ยง กล่าว

สำหรับการเดินทางตามรอยพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ยังไม่จบ...แต่จะขอยกยอดไปตอนหน้า ซึ่งเราได้เดินทางไปที่ อดีตฐานปฏิบัติการ “สมเด็จ” ปัจจุบันฐานนี้ยังมีอยู่หรือไม่ จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ติดตามอ่านได้ในตอนหน้าพรุ่งนี้!

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน

อ่านเพิ่มเติม