“น็อต อัครณัฐ” แถลงข่าวขอโทษทุกๆ คนที่ทำให้ผิดหวัง ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว ผู้ใหญ่ที่ให้การสนับสนุน สถาบันที่เคยศึกษา ที่ได้รับผลกระทบหมด เผย สำนึกผิด รู้สึกแย่ที่ไม่มีสติ พร้อมยืนยันไม่เอาผิดคู่กรณีแล้ว ขณะที่ตำรวจชี้เป็นคดีอาญาแผ่นดินไม่สามารถยอมความได้ รอใบรับรองแพทย์ จ่อแจ้งข้อหาเพิ่มอีก
จากกรณี นายอัครณัฐ หรือ น็อต อริยฤทธิ์วิกุล อายุ 28 ปี พิธีกรชื่อดัง ที่ขับรถยนต์มินิคูเปอร์ สีเหลือง ก่อเหตุทำร้ายร่างกาย นายกิตติศักดิ์ สิงห์โต อายุ 25 ปี กับวลีเด็ด "กราบรถกู" กระทั่งมีคลิปถูกแชร์ขณะกำลังตบผู้เสียหายว่อนโซเชียล เมื่อวันที่ 4 พ.ย. ที่ผ่านมานั้น
ความคืบหน้าเมื่อเวลา 12.10 น. วันที่ 14 พ.ย.59 ที่ สน.ยานนาวา นายอัครณัฐ อริยฤทธิ์วิกุล อายุ 28 ปี หรือที่รู้จักกันในวงการ น็อต เวคคลับ เดินทางมาด้วยรถยี่ห้อโตโยต้า รุ่นอัลพาร์ด สีขาว ทะเบียน 1 กม 3448 กรุงเทพมหานคร เมื่อลงรถได้เดินหลบหลีกผู้สื่อข่าวที่มารอกันอย่างคับคั่ง โดยเข้าทางด้านข้างของตึกอย่างรวดเร็วไปยังห้องพนักงานสอบสวน ชั้น 2 สน.ยานนาวา เพื่อพบ พ.ต.ท.อดิเรก พันธ์ใย รอง ผกก. (สอบสวน) สน.ยานนาวา ให้ปากคำเพิ่มเติมในฐานะพยานกรณีนายกิตติศักดิ์ หรือบอย สิงห์โต อายุ 25 ปี อาชีพเจ้าหน้าที่ฝ่ายคัคกรองเอกสาร สำนักงานสรรพากร พื้นที่ตลิ่งชัน ขับขี่รถเฉี่ยวชน ในข้อหา ขับรถโดยประมาทเฉี่ยวชนเป็นเหตุให้ทรัพย์สินของผู้อื่นเสียหายและไม่หยุดช่วยเหลือ ไม่แจ้งเจ้าหน้าที่ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ขณะให้ปากคำนั้นมี นายอดุล ทินะพงศ์ ทนายความ ร่วมด้วย โดยใช้เวลาให้ปากคำ 40 นาที จากนั้นลงไปแถลงข่าวบริเวณห้องโถงชั้นล่าง สน.ยานนาวา ทั้งนี้นายอัครณัฐ มีสีน่าที่โศกเศร้าน้ำตาไหลพร้อมยกมือไหว้แทบตลอดเวลา
ต่อมาเวลา 13.00 น. นายอัครณัฐ กล่าวด้วยน้ำตานองหน้าและยกมือไหว้ว่า วันนี้ที่เดินทางมา สน.ยานนาวา เพื่อให้ปากคำเพิ่มเติมประกอบสำนวนคดีเท่านั้น พร้อมยืนยันไม่เอาเรื่องกับนายกิตติศักดิ์แล้ว จริงๆ แล้วไม่ได้แจ้งความตั้งแต่ต้น และตอนนี้ตนก็ไม่ต้องการค่าเสียหายจากนายกิตติศักดิ์แล้ว เพราะตอนนี้ตนรู้สึกผิดมากๆ อยากจะขอโทษทุกๆ คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว ผู้ใหญ่ที่เอ็นดู พี่ๆ เพื่อนๆ สถาบันที่เคยศึกษา ที่ตนทำอะไรไปไม่มีสติ ทำให้ผิดหวัง ทำให้เสียชื่อเสียง อยากขออโหสิกรรมกับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด และต้องขอขอบคุณทุกคำติเตือนจากทุกคน ตนจะนำคำแนะนำไปปรับปรุงแก้ไขตัวเอง
...
นายอัครณัฐ กล่าวอีกว่า ก่อนหน้านี้ได้โทรศัพท์ไปหา น.ส.สุธิรา หงษ์ทอง อายุ 53 ปี แม่ของนายกิตติศักดิ์ แต่ก็ติดต่อไม่ได้ และตนได้ไปเยี่ยมนายกิตติศักดิ์ที่ รพ.เลิดสิน แต่ก็ไม่ได้เจอตัว เพราะไม่มีใครยอมมารับ ซึ่งก็ไม่เป็นไร เข้าใจ อาจจะเพราะทุกคนคงโกรธตนมาก ส่วนที่ตนถ่ายคลิปขณะเจรจา น.ส.สุธิรา ที่ สน.ยานนาวาไว้นั้น ตนแค่กลัวว่า น.ส.สุธิรา จะผิดสัญญาจึงได้ทำเช่นนั้น ขอโทษจริงๆ ครับ หากเรื่องราวทั้งหมดยุติ ตนจะไปปฏิบัติธรรม ในส่วนของข้อหาและรายละเอียดทางคดี ไม่สามารถตอบได้ ขอให้ไปสอบถามกับทางตำรวจว่าเป็นเช่นไร
พ.ต.ท.อดิเรก กล่าวว่า นายอัครณัฐ ได้ประสานมายังตนว่าต้องการเข้าให้ปากคำเพิ่มพร้อมระบุว่าไม่ติดใจเอาความกับนายกิตติศักดิ์ อย่างไรก็ตามแม้ว่านายอัครณัฐจะประสงค์เช่นนั้นแต่ในทางคดี คดีดังกล่าวเป็นคดีอาญาแผ่นดินไม่สามารถยอมความได้ ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก ดังนั้นทางพนักงานสอบสวนก็จะดำเนินคดีกับนายกิตติศักดิ์ ในข้อหาขับรถโดยประมาท เฉี่ยวชนเป็นเหตุให้ทรัพย์สินของผู้อื่นเสียหายและ ไม่หยุดช่วยเหลือ ไม่แจ้งเจ้าหน้าที่ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ส่วนคดีแพ่ง นายอัครณัฐยืนยันไม่ติดใจเอาความและเรียกร้องค่าเสียหาย ทั้งนี้ได้สอบปากคำนายอัครณัฐในฐานะพยาน และสอบปากคำนายกิตติศักดิ์ในฐานะผู้ต้องหาคดีจราจรไปเรียบร้อยแล้ว เบื้องต้นนายกิตติศักดิ์ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา พร้อมระบุว่า นายกิตติศักดิ์ถูกรถแท็กซี่ชนก่อนที่รถจักรยานยนต์จะไปเฉี่ยวชนกับรถของนายอัครณัฐ ต้องรอดูภาพกล้องวงจรปิดบริเวณที่เกิดเหตุจาก กทม. ขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานส่งอัยการศาลแขวงพระนครใต้เพื่อดำเนินการต่อไป
พ.ต.ท.ทวีป สุทธิ รอง ผกก. (สอบสวน) สน.ยานนาวา เปิดเผยว่า กรณีการทำร้ายร่างกายตามคลิปวีดิโอนั้น ทาง นายกิตติศักดิ์ สิงห์โต ได้เข้ามาให้ปากคำเสร็จสิ้นไปหมดแล้ว ขณะนี้รอเพียงใบรับรองแพทย์จากโรงพยาบาลเลิดสินเท่านั้น ยังต้องรอผลที่แน่ชัดยืนยันจากโรงพยบาล ว่าได้รับบาดเจ็บมากน้อยขนาดไหน เบื้องต้น นายกิตติศักดิ์ ได้แจ้งข้อหา ทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุที่ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ โทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 4,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แก่นายอัครณัฐ
ทั้งนี้หากผลใบรับรองแพทย์จากโรงพยาบาลเลิดสิน ระบุว่า สาหัส โทษจะหนักขึ้นและถูกแจ้งข้อหา ทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุที่ได้รับอันตรายสาหัส โทษจำคุก 3-10 ปี ซึ่งเมื่อได้ใบรับรองแพทย์แล้วจะเรียก นายอัครณัฐ มารับทราบข้อกล่าวหา เพื่อดำเนินต่อไป.