หนุ่มโคราชเพิ่งพ้นโทษคดีรุมโทรมหญิง พยายามจะหางานทำแต่ไม่มีคนจ้าง เครียดจัดสุดท้ายประกอบระเบิดมัดติดตัว แล้วจุดชนวนเพื่อฆ่าตัวตายกลางตลาด ชาวบ้านบอกจุดระเบิดตัวเองถึง 2 ครั้ง ก่อนจะล้มลงสิ้นใจไส้ทะลัก...

เมื่อเวลา 02.00 น วันที่ 21 ก.ย. 58 พ.ต.ท.สุพล สุราวุธ พงส.สภ.เมืองนครราชสีมา รับแจ้งเหตุระเบิด มีผู้เสียชีวิตในตลาดสดตะวันซีฟู้ด แยกบ้านหนองโพธิ์ ถ.เฉลิมพระเกียรติ ต.ในเมือง อ.เมืองนครราชสีมา หลังรับแจ้งจึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบตามลำดับ ก่อนเดินทางไปตรวจที่เกิดเหตุพร้อมด้วย พ.ต.อ.ปฏิยุทธ สิงห์สมโรจน์ ผกก., พ.ต.ท.ธนะวุฒิ หัสวาที รอง ผกก.ป., พ.ต.ต.สุทธิรักษ์ ลักคณาลิขิต สวป., แพทย์เวร รพ.มหาราชนครราชสีมา เจ้าหน้าที่ ศพฐ.3 และหน่วยกู้ภัยสว่างเมตตา

ที่เกิดเหตุ พบ มีประชาชนยืนมุงดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างตื่นตระหนก ผู้ตายเป็นชายหนุ่ม ทราบชื่อต่อมา คือ นายพลธวัฒน์ เจริญเวช อายุ 27 ปี ที่อยู่ตามบัตรประชาชนอยู่ ต.ในเมือง อ.เมืองนครราชสีมา สภาพนอนเสียชีวิตอยู่ที่พื้นข้างถังน้ำแข็งภายในตลาดสด สวมกางเกงยีนส์ขาสั้นเพียงตัวเดียว ตรวจตามร่างกายพบมีบาดแผลฉีกขาดที่บริเวณหน้าท้องเป็นแผลฉกรรจ์ซึ่งเกิดจากแรงระเบิด ไส้ไหลทะลัก เลือดไหลนองเต็มพื้น รอบๆ บริเวณพบเศษชิ้นเนื้อกระจายไปทั่ว นอกจากนี้ ยังพบเศษโลหะ ที่เป็นส่วนประกอบของระเบิด คาดว่าจะเป็นระเบิดที่ผลิตขึ้นเองกระจายเกลื่อน เจ้าหน้าที่จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน

จากการสอบถามพยานที่มีบ้านอยู่ติดตลาด เล่าให้เจ้าหน้าที่ตำรวจฟังว่า ได้ยินเสียงระเบิดดังกึกก้องขึ้น 1 ครั้ง จึงลุกขึ้นมามองดูที่หน้าต่าง เห็นคนตายกำลังนั่งอยู่บนฝาถังน้ำแข็งที่วางอยู่หน้าแผงขายของในตลาด กำลังจุดชนวนระเบิดอีก โดยมองเห็นว่าผู้ตายแนบวัตถุไม่ทราบชนิด ซึ่งคาดว่าเป็นระเบิดที่ทำขึ้นไว้กับตัวเอง จนเกิดระเบิดเสียงดังสนั่นขึ้นอีกครั้ง จากนั้นร่างได้ล้มลง และเสียชีวิตในเวลาต่อมา

...

ทางด้านนายณัฐดนัย สมีกลาง อายุ 24 ปี ญาติลูกพี่ลูกน้องของผู้ตาย ให้การกับตำรวจว่า ผู้ตายเคยติดคุกในคดีรุมโทรมหญิง นานกว่า 9 ปี พ้นโทษออกมาได้ไม่ถึงปี หลังพ้นโทษก็พยายามจะหางานทำ แต่ไม่มีที่ไหนรับเข้าทำงาน เคยบ่นน้อยใจโชคชะตา ทำนองว่าสังคมรังเกียจ ไม่ยอมให้โอกาส ก่อนเกิดเหตุคาดว่าผู้ตายน่าจะเมาเหล้า จึงก่อเหตุใช้ระเบิดที่ประกอบขึ้นมาเอง จุดชนวนฆ่าตัวตายในตลาดเพื่อหนีปัญหาชีวิต

หลังสอบสวนในเบื้องต้น ตำรวจจะเรียกพยานมาสอบปากคำอย่างละเอียดอีกครั้ง เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง ก่อนจะสรุปคดีต่อไป.