ผบ.ตร.แจงคดีนักข่าวฮ่องกงถูกจับซุกเสื้อเกราะกันกระสุนในกระเป๋าเดินทาง ยืนยันตามกฎหมายไทยถือเป็นเครื่องยุทธภัณฑ์คนธรรมดามีไว้ในความครอบครองไม่ได้ เมื่อตรวจพบต้องดำเนินคดี ส่วนการตัดสินลงโทษเป็นดุลพินิจของศาล สั่ง “ประวุฒิ” ทำความเข้าใจสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ด้าน พงส.ผทค.สน.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เผยส่งเสื้อเกราะกันกระสุนของกลางและลายนิ้วมือนักข่าวฮ่องกงให้เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานตรวจสอบ ก่อนสรุปสำนวนส่งอัยการพิจารณาว่าจะสั่งฟ้องหรือไม่
จากกรณีนายแอนโทนี กวาน ฮก ชุน อายุ 29 ปี ช่างภาพข่าวชาวฮ่องกง สังกัด The Initiun Media ถูกตำรวจ สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จับกุมพร้อมเสื้อกันกระสุน 1 ตัว อยู่ในกระเป๋าเดินทาง บริเวณจุดตรวจค้นโซน 2 ตะวันออก อาคารผู้โดยสารขาออก ชั้น 5 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จ.สมุทรปราการ ขณะเตรียมเดินทางกลับฮ่องกง เมื่อบ่ายวันที่ 13 ส.ค.ที่ผ่านมา หลังมาทำข่าวระเบิดศาลท้าวมหาพรหม แยกราชประสงค์ กรุงเทพฯ ตั้งข้อหามีเครื่องยุทธภัณฑ์ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต นายแอนโทนี กวาน ฮก ชุน ให้การว่า ต้นสังกัดให้นำเสื้อเกราะมาใส่ในระหว่างทำข่าวในประเทศไทย ไม่รู้ว่าเป็นของต้องห้าม นำออกนอกประเทศ ศาลจังหวัดสมุทรปราการอนุญาต ให้ประกันตัวแล้ว แต่ห้ามเดินทางออกนอกประเทศ
ความคืบหน้าคดีนักข่าวฮ่องกงถูกจับครอบครอง เสื้อเกราะกันกระสุน เมื่อเวลา 12.30 น. วันที่ 25 ส.ค. พ.ต.อ.สมปอง ศรีเพ็ชร์ พงส.ผทค.สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เปิดเผยว่า พนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลพยานหลักฐานต่างๆ โดยส่งของกลางคือเสื้อกันกระสุน และลายนิ้วมือของนายแอนโทนี กวาน ฮก ชุน ไปให้ทางเจ้าหน้าที่ พฐ. สังกัดศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 1 ตรวจสอบว่าเสื้อดังกล่าวเป็นของผู้ต้องหาหรือไม่ รวมทั้งสอบประวัติว่าเคยกระทำผิดอื่นหรือไม่ เพื่อนำมาประกอบสำนวนคดี คาดว่าต้องใช้เวลาประมาณ 1 เดือน
...
พงส.ผทค.สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จากนั้นพนักงานสอบสวนก็จะรวบรวมข้อมูลที่ได้มาสรุปสำนวนส่งให้อัยการจังหวัดสมุทรปราการพิจารณาว่าจะสั่งฟ้องหรือไม่ คดีนี้จะต้องส่งฟ้องต่อศาลจังหวัดสมุทรปราการ เพราะในส่วนของเสื้อเกราะ กฎหมายไม่ได้ระบุให้ต้องดำเนินคดีในศาลทหาร จึงไม่จำเป็นต้องไปดำเนินคดีที่ศาลทหารแต่อย่างใด นายแอนโทนี กวาน ฮก ชุน ผู้ต้องหา แม้ศาลจะอนุญาตให้ประกันตัว แต่ยังถือว่าอยู่ในอำนาจการควบคุมของศาล หากทางศาลเรียกให้มารายงานตัวเมื่อใดก็ต้องมาตามคำสั่งศาล
ทางด้าน พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. กล่าวว่า ได้มอบให้ พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วย ผบ.ตร.และโฆษก ตร. ติดตามเรื่องที่มีผู้สื่อข่าวฮ่องกงนำเสื้อเกราะและหมวกกันกระสุนเข้ามาประเทศไทย กฎหมายไทยถือว่าเป็นเครื่องยุทธภัณฑ์ คนธรรมดามีไว้ในความครอบครองไม่ได้ การที่มีการตรวจพบนำมาในประเทศ เจ้าหน้าที่ตำรวจหลีกเลี่ยงดำเนินการอื่นใดไม่ได้นอกจากต้องดำเนินคดีตามกฎหมาย ส่วนการตัดสินลงโทษ ทางตำรวจจะไปก้าวล่วงไม่ได้ ขึ้นอยู่ที่ดุลพินิจของศาล ได้ให้ พล.ต.ท.ประวุฒิ ทำความเข้าใจสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ชี้แจง อธิบายเหตุผล ส่วนผลว่าคดีอยู่ในดุลพินิจของศาล
ต่อมานายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ กล่าวถึงการจับกุมนักข่าวฮ่องกงที่นำเสื้อเกราะและหมวกนิรภัย เตรียมเดินทางออกจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเพื่อกลับฮ่องกงว่า ขณะนี้ได้ปล่อยตัวนักข่าวคนดังกล่าวแล้ว เพราะเห็นว่านักข่าวคนนั้นอาจไม่ทราบว่าเป็นยุทธภัณฑ์ที่ไม่สามารถครอบครองได้โดยไม่มีใบอนุญาต
ส่วน พ.ต.อ.สมปอง ศรีเพ็ชร พงส.ผทค.สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กล่าวถึงกรณี รมว.ต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ปล่อยตัวนักข่าวฮ่องกงไปแล้ว ว่าในส่วนของคดีความพนักงานสอบสวนยังทำหน้าที่ตามปกติในการรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อสรุปเป็นสำนวนส่งให้พนักงานอัยการจังหวัดสมุทรปราการ พิจารณาอีกครั้งว่าจะสั่งฟ้องคดีหรือไม่ เนื่องจากตำรวจไม่มีอำนาจตัดสินใจว่าจะสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้อง ตามขั้นตอนเมื่อมีคดีเกิดขึ้น ตำรวจมีหน้าที่แค่ทำสำนวนคดี คดีจะสิ้นสุดที่การสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องอยู่ที่พนักงานอัยการ ส่วนการปล่อยตัวเป็นอำนาจของศาล