หนุ่มใหญ่พิการขาขาด นั่งวีลแชร์ตระเวนไปตามที่ต่างๆ ในอยุธยาเพื่อขอทาน ถูกพนักงานบขส.แจ้งความว่าขโมยโทรศัพท์ โดยมีแม่ค้าช่วยสำทับว่าขโมยแล้วหลายครั้งแต่ไม่มีใครเอาเรื่องเลยได้ใจทำบ่อย พบประวัติเคยติดคุก ส่งเสียสาวเรียนหนังสือ   

เมื่อเวลา 08.00 น. วันที่ 13 ส.ค.58 ร.ต.ท.มาลา แย้มชม พนักงานสอบสวน สภ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา ได้รับแจ้งจากนางสุภาพร อินทร์สุข อายุ 44 ปี ชาวบ้าน หมู่ 6 ต.บางกระสั้น อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา พนักงาน บขส. ว่า วางโทรศัพท์มือถือยี่ห้อซัมซุง ไว้บนโต๊ะที่บริเวณท่ารถ บขส.บางปะอิน ต.บ้านเลน อ.บางปะอิน ได้หายไป จึงได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิด พบภาพชายพิการวัยกลางคน นั่งรถเข็นวีลแชร์เป็นผู้ที่ฉกโทรศัพท์ไป

นางสุภาพร อินทร์สุข ผู้เสียหาย กล่าวว่า ชายพิการดังกล่าวจะมานั่งขอทานที่ท่ารถ บขส. บางปะอิน อาทิตย์ละครั้ง ทุกครั้งจะมาขอน้ำกินเป็นประจำ ตอนเกิดเหตุวันที่ 12 ส.ค. เวลา 07.45 น. ตนกำลังทำงานและวางโทรศัพท์ไว้ ชายพิการได้มาขอน้ำกิน ตนกำลังยุ่งจึงไม่ได้เอาน้ำให้กิน หันมาอีกทีชายพิการก็หายตัวไปพร้อมกับโทรศัพท์ของตน ขณะเดียวกันจากการสอบถามแม่ค้า พ่อค้า ในตลาด ต่างบอกกันว่า ถูกชายพิการคนนี้นั่งวีลแชร์มาขอทาน และฉกทรัพย์สินไปหลายรายแล้ว โดยอาศัยความสงสาร ไม่มีใครเอาเรื่อง ไม่มีใครไปแจ้งความ เลยได้ใจทำบ่อย

ต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจตามไปจับกุมคนร้ายชายพิการคนดังกล่าว ได้ที่บ้านหลังหนึ่งวในพื้นที่ หมู่ 10 ต.หัวรอ อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา ทราบว่าชื่อ นายสายชล สว่างอารมณ์ อายุ 47 ปี ขาขวาขาดช่วงข้อเท้า แต่ยังเดิน วิ่งได้ ตรวจค้นภายในบ้านพบรถจักรยานสองล้อ จำนวน 2 คัน เสาอากาศรถยนต์จำนวนหนึ่ง จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน ก่อนจะนำตัวไปสอบปากคำที่ สภ.บางปะอิน

...

จากการสอบสวน ทราบว่า นายสายชล ชายพิการผู้นี้ ประสบอุบัติเหตุขาขาด และมีประวัติเคยติดคุกคดีลักทรัพย์ พ้นโทษมาเมื่อต้นปี 2558 ก่อนจะยึดอาชีพขอทานโดยนั่งรถวีลแชร์ให้คนสงสาร มีรายได้ดีตกวันละ 1,000 บาทเลยทีเดียว หลังจากขอทานเสร็จกลับมาบ้านก็จะขี่รถจักรยานยนต์ออกเที่ยวเตร่ จนไปติดพันสาวคนหนึ่ง ส่งเสียให้เรียนหนังสือ ทำให้มีรายจ่ายมาก จึงต้องลักขโมยไปทั่วในทั้งเขตเกาะเมืองอยุธยา อ.บางปะอิน และตลาดแกรนด์ อ.อุทัย หากไกลๆ ต่างจังหวัด จะนั่งรถไฟฟรีไปลักขโมย

อย่างไรก็ตาม นายสายชล ได้ปฏิเสธ โดยอ้างว่า หยิบโทรศัพท์มาจริงแต่ได้นำไปคืนให้ที่ตู้บขส.แล้วเมื่อเวลา 19.00 น. ของวันเดียวกัน แต่ไม่ทราบว่าคนที่รับคืนเป็นใคร ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ปักใจเชื่อ จึงได้แจ้งข้อหาลักทรัพย์ ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป.