สายวันที่ 15 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่านายสมัย โสตสงค์ อายุ 49 ปี อยู่บ้านเลขที่ 163/2หมู่1 ต.ท่าเสา อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี นายพินิจ อ่อนบุญธรรม อายุ 50 ปี อยู่บ้านเลขที่ 85 หมู่1ต.ท่าเสา และนางนนท์ แสนสุข อายุ 64 ปี อยู่บ้านเลขที่175/1 หมู่ 1 ต.ท่าเสา รวมตัวกันไปร้องขอความช่วยเหลือจากนายศรัทธา คชพลายุกต์ นายอำเภอเมืองกาญจนบุรี และนายวสันต์ สุพจิรัตน์ ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 5ต.ช่องสะเดา อ.เมือง หลังช้างป่าลงมากัดกินทำลายไร่มันสำปะหลังที่ปลูกเอาไว้จำนวน 24 ไร่ เสียหายเกือบทั้งหมด ในพื้นที่หมู่ 5 ต.ช่องสะเดา

จากนั้นนายศรัทธาพร้อมด้วยนายวสันต์ได้เดินทางลงพื้นที่เพื่อดูสภาพข้อเท็จจริง ที่เกิดเหตุพบต้นมันสำปะหลังที่ปลูกเอาไว้ถูกช้างถอนทำลายเป็นบริเวณกว้าง โดยเฉพาะที่บริเวณชายป่าติดกับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ ถูกถอนทำลายเสียหายทั้งหมด แต่หัวมันสำปะหลังไม่ใหญ่มากนัก จากการตรวจสอบพบร่องรอยเท้าช้างสภาพมีทั้งขนาดเล็กและใหญ่เหยียบย่ำไปทั่วบริเวณ ส่วนมูลช้างก็มีอยู่เป็นจำนวนมากเช่นกัน

นายสมัยผู้ได้ความเดือดร้อนเปิดเผยว่า เป็นชาวอำเภอไทรโยค มาเช่าที่ดินบริเวณดังกล่าวปลูกมันสำปะหลังคนละ 8 ไร่ รวมทั้งหมด 24 ไร่ โดยปลูกมาประมาณ 3-4 เดือน เมื่อ 2 วันที่ผ่านมาได้มาดูไร่มันพบว่าบางส่วนถูกช้างถอนทำลาย จึงรีบแจ้งไปยังเจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระให้เข้ามาตรวจสอบ และได้รับความช่วยเหลือ ล่าสุดเจ้าหน้าที่ชุดไล่ช้างต้องเดินทางไปตรวจตราเฝ้าระวังช้างทำลายพืชไร่ของชาวบ้านในพื้นที่อื่น เมื่อพวกตนมาดูไร่มันสำปะหลังเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา พบว่าถูกช้างถอนทำลายเสียหายกว่า 20 ไร่ จึงได้เดินทางไปพบพนักงานสอบสวน สภ.ลาดหญ้า เพื่อลงบันทึกประจำวันเอาไว้เป็นหลักฐาน

...


นายสมัยกล่าวด้วยว่า ได้มาเช่าที่ผืนดังกล่าวโดยไม่ทราบว่าเป็นเส้นทางเดินของช้างป่า ไม่เคยทราบมาก่อน ครั้งแรกที่ช้างลงมากินมันสำปะหลัง คิดว่าจะทำรั้วไฟฟ้าเพื่อป้องกันช้างลงมาทำลายแต่ก็ต้องล้มเลิกความคิด เพราะเกรงว่าช้างป่าอาจจะถูกไฟฟ้าช็อตเสียชีวิต อีกทั้งเจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระก็ได้ให้คำแนะนำเป็นอย่างดี หลังจากนี้ก็จำเป็นจะต้องยอมสูญเสียเงินที่ลงทุนไปและคงจะไปขอยกเลิกสัญญาเช่ากับเจ้าของที่ดินต่อไป

นายศรัทธา คชพลายุกต์ นอภ.เมืองกาญจนบุรี เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่และสอบถามชาวบ้านที่มา ลงทุนมาจากอำเภอไทรโยค ซึ่งบอกว่าไม่รู้ว่าพื้นที่ ดังกล่าวเป็นเส้นทางหากินของช้างป่า ส่วนการให้ความ ช่วยเหลือไม่สามารถทำได้ เพราะไม่เข้าข่ายเสียหายเกี่ยวกับอุทกภัยทางธรรมชาติ ซึ่งชาวบ้านก็เข้าใจเป็น อย่างดี ส่วนจะลงทุนทำต่อหรือไม่ ก็อยากให้ชาวบ้านทั้ง3รายทำตามคำแนะนำของผู้ใหญ่บ้าน ด้วยการหันไปปลูกพริก หรืองา แทน เพราะโดยตามธรรมชาติของช้างจะไม่ชอบพืชทั้งสองชนิด.