ศาลเลื่อนนัดอ่านฎีกา "โอ๋ สืบ 6" ละเว้นหน้าที่ไม่จับคนรุมทำร้ายแนวร่วม พธม.ปี 49 ตะโกนไล่ทักษิณ เหตุจำเลยยังไม่รับหมายศาล นัดอีกครั้งเช้า 25 มิ.ย.นี้
เมื่อวันที่ 27 พ.ค. 58 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ศาลอาญา เวลา 10.00 น. ศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 2 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง พล.ต.ต.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ ผบก.อก.สพฐ.ตร. หรือชื่อเดิม ฤทธิรงค์ เทพจันดา ฉายา "โอ๋ สืบ 6" เป็นจำเลย ในความผิดฐาน เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ สร้างความเสียหายให้แก่ผู้หนึ่งผู้ใด และเป็นเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญาร่วมกันกระทำหรือไม่กระทำการอย่างใดๆ ในตำแหน่งอันเป็นการมิชอบฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 200 ประกอบมาตรา 83 และ 90 กรณีที่จำเลย ไม่จับกุมชายฉกรรจ์ ที่ใช้กำลังประทุษร้ายแนวร่วมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ที่ตะโกนขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ปี 2549
อย่างไรก็ตาม วันนี้ ทนายความจำเลยได้แถลงต่อศาลว่า จำเลยยังไม่ได้รับหมาย และติดราชการ ขณะที่ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า มีเหตุสมควร จึงให้เลื่อนอ่านคำพิพากษาฎีกาออกไปก่อน โดยนัดฟังคำพิพากษาฎีกาอีกครั้ง ในวันที่ 25 มิ.ย.นี้ เวลา 09.00 น.
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า คดีดังกล่าว อัยการได้ยื่นฟ้องเมื่อ 27 มิ.ย. 50 ระบุความผิดสรุปว่า เมื่อวันที่ 21 ส.ค. 49 เวลากลางวัน ขณะเกิดเหตุ จำเลยดำรงตำแหน่ง ผกก.สส.บก.น.6 เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ มีอำนาจสืบสวนคดีอาญา หรือจัดการให้เป็นไปตามกฎหมายอาญา มีหน้าที่แสวงหาข้อเท็จจริงฯ โดยจำเลยร่วมกับ นายจรัล จงอ่อน, นายชัยสิทธิ์ ลอม๊ะห์ และนายสุเมธ บุญยรัตพันธุ์ เข้าไปรุม ใช้กำลังประทุษร้าย นายฤทธิรงค์ ลิขิตประเสริฐกุล, นายวิชัย เอื้อปิยาพันธุ์ แนวร่วม พธม. ที่ตะโกนขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ขณะนั้นได้ไปร่วมงานบริเวณห้างเซ็นทรัล เวิลด์ พลาซ่า ย่านปทุมวัน โดยจำเลยละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ไม่จับกุม นายจรัลกับพวกมาดำเนินคดี เหตุเกิดที่แขวงและเขตปทุมวัน กทม.
...
ด้านศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 23 พ.ค. 51 ให้จำคุกจำเลย 2 ปี และปรับ 10,000 บาท ตาม ม.157 แต่ไม่เคยปรากฏว่า จำเลยเคยกระทำความผิดมาก่อน ขณะที่จำเลยได้ประกอบคุณงามความดี ด้วยการปฏิบัติหน้าที่ราชการเพื่อประเทศชาติด้วยดีตลอดมา ประกอบกับได้ความว่า หลังจากเกิดเหตุคดีนี้ จำเลยถูกลงโทษทางวินัยให้ไล่ออกจากราชการ อันทำให้จำเลยหมดอนาคตในชีวิตราชการ นับได้ว่าจำเลยได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ในหน้าที่การงานจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จำเลยคงสำนึกในการกระทำของตน ถือได้ว่าเป็นเหตุอันควรปรานี และเพื่อให้โอกาสจำเลยได้กลับตัวประพฤติตน เป็นพลเมืองดีสักครั้ง โดยโทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ขณะที่ศาลอุทธรณ์ มีคำพิพากษา วันที่ 26 ส.ค. 54 ยืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น