คงจะทราบกันดีแล้ว ว่าเหตุการณ์แผ่นดินไหว ได้คร่าชีวิตไปแล้วหลายพันราย และคาดว่ายอดคนตายจะสูงขึ้นเรื่อยๆ วันนี้ "ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์" ได้โอกาสพูดคุยกับ คู่รักสาวไทย กับ หนุ่มอเมริกัน ที่ตั้งใจควงกันไปสวีต ยังดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ แต่ใครจะคิดว่ากลับต้องเจอประสบการณ์เลวร้ายโดยต้องจดจำไปไม่มีวันลืม
คุณเพ็ญจิต พิซโตเรซี่ หรือ คุณยีนส์ อายุ 33 ปี และ คุณสก็อต พิซโตเรซี่ อายุ 35 ปี นายทหารของกองทัพเรือสหรัฐฯ สองสามีภรรยาชาวไทยและอเมริกัน ที่ร่วมบุกป่าฝ่าดงมาแล้วหลายประเทศ แต่เพราะอยากรู้วิถีชีวิตคน"เนปาล" เมื่อโอกาสมาถึงจึงไม่พลาดขอเดินทางไปสัมผัส โดยขอทิ้งลูกสาวที่กำลังน่ารักน่าชังชั่วคราว ทั้ง 2 คน คือ น้องนีน่า วัย 8 ขวบ และ น้องเคล่า วัย 4 ขวบ เพื่อเดินทางแบ็กแพ็ก ตั้งแต่วันที่ 24 เม.ย.58 และมีกำหนดกลับ วันที่ 28 เม.ย.58
...
เมื่อเดินทางถึง สองสามีภรรยา ได้เข้าห้องพักที่โรงแรมในเมืองกาฐมาณฑุ ก็ได้ออกท่องเที่ยว ในย่านทาเมล (Thamal) กันอย่างมีความสุขตามแผนการที่วางเอาไว้ล่วงหน้ากันเป็นอย่างดี แต่แล้ว...
ลางร้ายฝูงนกร้องลั่น บินวนเต็มฟ้า ไม่กี่นาทีต่อมาพังถล่มครืน
…เวลาประมาณ 12.00 น. ของวันที่ 25 เม.ย.58 ขณะที่ทั้งสองคนกำลังชมความงามของ จัตุรัสดูร์บาร์ อยู่นั้น จู่ๆ ฝูงนกจำนวนมากที่อยู่ในบริเวณดังกล่าว ก็ส่งเสียงร้องดังลั่นไปทั่วบริเวณ จนทำให้ทุกๆ คนที่อยู่ในบริเวณนั้นต้องแหงนหน้าขึ้นไปมองกันทุกคน และเจ้าพวกนกเหล่านั้นส่งเสียงร้องกันได้ไม่นาน ฝูงนกจำนวนมากก็บินออกไปจากบริเวณนั้นทันทีจนเต็มท้องฟ้าไปหมด และอีกเพียงไม่กี่นาทีต่อมา พื้นดินที่ทั้งสองคนยืนอยู่ก็เกิดอาการสั่นไหว และค่อยๆ แรงขึ้นๆ ตามลำดับ และขณะที่ คุณยีนส์ กำลังมึนงง หันรีหันขวาง ทำอะไรไม่ถูกอยู่นั้น แฟนหนุ่มชาวอเมริกัน ก็ตะโกนด้วยเสียงอันดังทันทีว่า "ยีนส์ วิ่งหนีเร็ว แผ่นดินไหว"
ทั้งสองจึงจับมือกัน วิ่งหนีกันแบบไม่คิดชีวิต แต่ในจุดที่ทั้งสองคนออกวิ่งนั้น ถูกโอบล้อมไปด้วยอาคารทั้งสองฝั่ง จึงทำให้มีเศษอิฐและปูนกระเด็นลงมาถูกตามร่างกาย รวมทั้งยังมีเศษฝุ่นจำนวนมากปลิวมาใส่ตัวจนแทบจะหายใจไม่ออก ซ้ำร้ายไปกว่านั้นคือ ในวินาทีชีวิตที่เกิดขึ้นนี้ ทั้งสองคน ต้องเห็นผู้เคราะห์ร้ายจำนวนมากที่ถูกเศษซากปรักหักพังลงมาทับร่าง ต่อหน้าต่อตาหลายราย แต่ก็ไม่สามารถหันกลับไปช่วยได้ เพราะหากหันกลับไปช่วย ทั้งสองคนก็คงไม่รอดชีวิตกลับมาประเทศไทยอย่างแน่นอน เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากแทบจะไม่ทันตั้งตัว
และเมื่อวิ่งหนีกันอย่างสุดชีวิต เพื่อหาทางออกไปยังที่โล่งเพื่อความปลอดภัย เพียงพักเดียว ทั้งสองคนก็มาเจอเข้ากับทางตัน เพราะประตูทางออกถูกซากปรักหักพังลงมาทับปิดไว้ และบริเวณโดยรอบถูกล้อมด้วยตัวอาคารและกำแพงเอาไว้ทั้งหมด ตอนนั้นคิดกันในใจว่า "เราสองคน คงไม่รอดกลับไปหาลูกของเราแล้วล่ะ คงต้องมาจบชีวิตอยู่ตรงนี้กันแล้ว" เพราะนอกจากจะไม่มีทางออกแล้ว แรงสั่นสะเทือนของพื้นดิน ยังเหวี่ยงเอาร่างปลิวไปปะทะกับกำแพงเข้าอีก จนแขนขานี่เจ็บไปหมด จมูกนี่เป็นรอยฟกช้ำหมดเลย...
...
ฝุ่นตลบ ช่วงเป็นตาย คำขอสุดท้าย คือ…ปาฏิหาริย์!
และในวินาทีเป็นวินาทีตายนี้เอง... ท่ามกลางพื้นแผ่นดินที่ยังสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง จนพาร่างของทั้งสองคนปลิวไปกระแทกกับกำแพง และฝุ่นผงจากเศษซากปรักหักพังปลิวเข้าใส่จมูกและปากจนแทบหายใจไม่ออก จะขาดใจตายเสียให้ได้ รวมเวลากว่า 15 นาที นั้น คุณยีนส์ ก็ได้ระลึกถึงพ่อและแม่ เพื่อขอให้พระเดชพระคุณของพ่อและแม่ ให้ช่วยชีวิตลูก สามารถออกไปจากตรงนี้ได้ทีเถิด จากนั้นเพียงชั่วไม่ถึงอึดใจ...ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า...
...
ได้ปรากฏแสงสว่างลอดเข้ามาจากภายนอกได้ราวกับปาฏิหาริย์ เพราะประตูอีกด้าน ยังไม่ถูกเศษซากลงมาปิดทับจนไม่มีทางออกเหมือนประตูอีกด้าน เมื่อเห็นดังนั้น คุณยีนส์และคุณสก็อต ก็พูดออกมาพร้อมกันว่า "เรารอดตายแล้ว" เพราะในช่วงวินาทีนั้น ทั้งสองคนแทบจะทอดอาลัยกับชีวิต เพราะได้สูดเอาเศษฝุ่นเข้าไปในร่างกายเยอะมากจนจะหายใจไม่ออกอยู่แล้ว จากนั้นจึงได้วิ่งไปตามแสงสว่าง จนรอดชีวิตมาได้ราวกับปาฏิหาริย์ ซึ่งเมื่อทันทีที่รอดชีวิตมาได้ คุณยีนส์ จึงได้หยิบโทรศัพท์มือถือ ถ่ายคลิปตามที่แพร่หลายอยู่ในโซเชียลเน็ตเวิร์กอยู่ในเวลานี้ทันที จนถูกสามีนายทหารชาวอเมริกัน เตือนว่า "อย่าเพิ่งถ่ายๆ เดี๋ยวจะมีแผ่นดินไหวตามมาอีกเรื่อยๆ" ซึ่งประสบการณ์ของนายทหารชาวอเมริกันผู้นี้ ก็ไม่ผิดพลาด เพียงไม่ทันขาดคำ ก็ได้ปรากฏมีอาฟเตอร์ช็อก ตามมาอีกระลอก จนพื้นดินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง คราวนี้ ไม่ต้องบอกกัน สองสามีภรรยาก็วิ่งหนีกันอย่างสุดชีวิตอีกครั้ง...
เดชะบุญ หลังจากออกวิ่งกันได้ไม่นาน ก็ได้มาเจอกับแท็กซี่ที่ทั้งสองคนจ้างให้นำทางมาที่... ซึ่งทันทีที่เห็นสองสามีภรรยาชาวไทย โชเฟอร์ชาวเนปาลคนนี้ดีใจมาก เพราะไม่คิดว่าเราจะรอดชีวิตจากแผ่นดินไหวมาได้ เนื่องจาก สิ่งก่อสร้างได้พังถล่มลงมาเป็นอย่างมาก เมื่อได้แท็กซี่ สองสามีภรรยา จึงร้องขอให้พากลับโรงแรมที่พักทันที แต่โชเฟอร์ เตือนว่า ยังไม่ควรออกเดินทางในเวลานี้ เพราะยังมีอาฟเตอร์ช็อกตามมาอีกหลายระลอก หากเดินทางตอนนี้ อาจมีความเสี่ยง ทั้งสองคนจึงคอยอยู่กันสักพัก โดยหวังว่าอาฟเตอร์ช็อกน่าจะหยุดลงในอีกไม่ช้า ซึ่งในระหว่างที่รอคอยนี่เอง คุณยีนส์ ได้ถ่ายทอดประสบการณ์ ณ ช่วงเวลานั้นว่า
...
"เชื่อไหม หนูเห็นคนเนปาลคนหนึ่ง กำลังนั่งร้องไห้อยู่ข้างทาง จู่ๆ ก็มีเศษซากอาคารปลิวลงมาทับร่างของเค้า ต่อหน้าต่อตา ตอนนั้นคิดในใจเลยว่า โหย แผ่นดินไหวทำไมรุนแรงและน่ากลัวได้ขนาดนี้"
นั่งคอยอยู่ประมาณ 20-30 นาที เห็นว่า อาฟเตอร์ช็อก เริ่มมีระยะห่างมากขึ้นๆ จึงตัดสินใจให้แท็กซี่ พากลับมาส่งที่โรงแรมที่พักด้วยความหวังเต็มเปี่ยมว่า จะได้อาบน้ำชำระความสกปรกที่เพิ่งเผชิญมา และเหตุการณ์ที่เกือบทำให้เสียชีวิต รวมทั้งมีอาหารใส่ท้องที่กำลังหิวจนไส้กิ่ว แต่เมื่อกลับมาถึง ก็แทบเป็นลมทั้งสามีและภรรยา เพราะ…
เข่าอ่อนเห็นสภาพโรงแรม ตัดใจทุ่มจ้างผู้กล้าเข้าเก็บทรัพย์สิน
" ก็โรงแรม สภาพมันมีแต่รอยร้าวเต็มไปหมด จนเสี่ยงจะพังแหล่ มิพังแหล่ ห้องพักด้านในเกือบทุกห้องพังพินาศ แถมยังมีอาฟเตอร์ช็อกเกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ ใครจะกล้าเข้าไป แล้วทรัพย์สินเงินทอง พาสปอร์ต ตั๋วเครื่องบิน อะไรทุกอย่างก็อยู่ในนั้นทั้งหมด"
เห็นดังนั้น คุณสก็อต จึงตัดสินใจทุ่มเงินว่าจ้างชาวเนปาล ให้ช่วยเข้าไปเอาทรัพย์สินในห้องพักออกมาให้ ซึ่งเมื่อตกปากรับคำกันเรียบร้อย ชาวเนปาลใจเด็ดผู้นั้น ก็เข้าไปเอาทรัพย์สินในห้องพักที่อยู่ชั้น 6 ของโรงแรม มาให้สองสามีภรรยาได้สำเร็จ!
หลังได้ทรัพย์สินคืนมาแล้ว คุณยีนส์ ที่ขณะนั้นกำลังอยู่ในอาการหวาดวิตก จึงบอกสามีทันทีว่า คงอยู่เนปาลอีกต่อไปไม่ได้แล้ว ขอกลับเมืองไทยทันทีเลยได้ไหม ซึ่งทหารกล้าแห่งกองทัพสหรัฐฯ ก็เห็นพ้องกับภรรยาคนไทย จัดแจงหารถแท็กซี่บึ่งไปสนามบิน เพื่อขอเลื่อนไฟลท์กลับเมืองไทยทันที แต่ก็ต้องพบความผิดหวัง เพราะสนามบินกาฐมาณฑุ คลาคล่ำไปด้วยผู้คน และไม่มีไฟลท์เดินทางกลับประเทศไทย เมื่อพานพบกับความผิดหวัง คุณยีนส์และสามี จึงต้องกลับไปตั้งหลักที่โรงแรม ซึ่งได้จ่ายเงินค่าที่พักคืนละ 3,000 บาท ไปจนถึงวันที่ 27 มิ.ย. ซึ่งเป็นกำหนดกลับเดิมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
วันแรกธรณีพิโรธเฉียดตาย วันต่อมาทดสอบความทรหด
วันที่ 25-26 เม.ย. ความลำบากเป็นเครื่องพิสูจน์ความรักแท้ ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะแม้จะจ่ายเงินค่าที่พักเอาไว้จนถึงวันกลับ แต่โรงแรมที่ในเวลานี้อยู่ในสภาพที่เกือบจะพัง สามารถให้ความช่วยเหลือนักท่องเที่ยวที่มาตกระกำลำบากที่เนปาล ได้เพียง ซีเรียล ชาหรือกาแฟ จำนวนจำกัด ใครมาช้าก็อด เป็นอาหารเช้า ห้องพักที่เคยมีเตียงนอนอย่างสุขสบาย ก็ถูกให้มานอนรวมกันที่บริเวณสระน้ำชั้นล่าง เพราะบริเวณด้านบนของอาคารไม่ปลอดภัย และมีเพียงผ้าห่มให้คลุมกายป้องกันความหนาวเท่านั้น ซึ่งนั่นก็ถือได้ว่าเป็นความช่วยเหลือแบบดีที่สุด เท่าที่จะหาได้ในเวลาวิกฤติเช่นนั้นแล้ว แต่ยังมีความโชคดีเป็นของสองสามีภรรยาจอมอึด อยู่นิดหน่อย เพราะในช่วงวันที่ 24 เม.ย. ซึ่งเป็นวันแรกของการท่องเที่ยวที่ประเทศเนปาลนั้น ทั้งสองคนได้ซื้อกล้วย และแอปเปิ้ล ตุนเอาไว้จำนวนหนึ่ง ในยามยากเช่นนี้ กล้วยและแอปเปิ้ลที่มีค่าไม่ต่างจากทองคำ ซึ่งตุนเอาไว้ จึงได้ถูกนำมาแบ่งครึ่งกินกันตาย ระหว่างคุณยีนส์และสามี
ขณะที่ความยากลำบากอื่นๆ นั้น คุณยีนส์ บรรยายความสาหัสสากรรจ์ ให้ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ฟัง ว่า "พี่รู้ไหม นอนแทบจะไม่หลับเลย นอนๆ อยู่ ก็เกิดอาฟเตอร์ช็อก ทุกๆ 30 นาที หรือ 1 ชั่วโมง จนหลอนไปหมด หลอนขนาดต้องหอบทรัพย์สิน หอบผ้าห่ม เข้าๆ ออกๆ เพราะกลัวโรงแรมจะถล่ม แถมออกมาเมื่อไหร่ จุดที่เราเคยนอน ก็จะถูกคนอื่นมาแย่งไปจนต้องไปหาจุดอื่นนอน น้ำก็ไม่มีให้อาบ โดยเฉพาะฤทธิ์เดชนักท่องเที่ยวชาวจีน เป็นไปอย่างที่ใครๆ พูดจริงๆ เข้าห้องน้ำห้องท่าแต่ละที พี่เอ๊ย! อย่าให้บอก ซกมก อย่างที่เค้าพูดกันจริงๆ แล้วพี่รู้ไหม หนูหลอนมาก เวลาเข้าห้องน้ำนอกจากจะต้องคอยระวัง อาวุธลับที่นักท่องเที่ยวจีนปล่อยไว้ หูของหนู ยังจะต้องคอยฟังเสียงนกด้วย เพราะประสบการณ์ที่เจอมาในวันแรก ทำให้รู้ว่า เวลานกร้อง อาจจะทำให้เกิดแผ่นดิวไหวขึ้นมาได้ เพราะฉะนั้น เวลานกร้องทีไร หนูจะรีบวิ่งออกมาจากห้องน้ำทันที เพราะสภาพของห้องน้ำโรงแรมที่ใช้กันอยู่นั้น ก็ใช่ว่าจะไม่เสี่ยงที่จะพังลงมาเมื่อไหร่"
ซ้ำร้ายไปกว่านั้น เมื่อนักท่องเที่ยวจากภายนอก เห็นว่าโรงแรมที่พักอยู่ มีอาหารแจกจ่าย ก็จะพยายามเข้ามามั่วนิ่มขออยู่ด้วยอีก จนทำให้มีผู้อพยพรวมอยู่กันในโรงแรมรวมกว่า 100 คน คงไม่ต้องบรรยายนะคะว่ามันลำบากขนาดไหน แต่ตอนนั้น คิดกันกับสามีแค่ว่า "ควรจะหาทางช่วยตัวเองให้มากกว่า ที่จะไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่น" จึงตัดสินใจอยู่กันแบบลำบากๆ แบบนั้น ต่อไปดีกว่า
ย่างเข้าวันที่ 27 เม.ย. สองสามีภรรยา เร่งเก็บของมุ่งหน้าไปสนามบินทันที คิดกันในใจว่า ดีใจจริงๆ จะได้กลับบ้านกันสักที แต่ที่สุดก็เป็นอย่างที่เราทราบๆ กัน คือ เที่ยวบินของการบินไทย เกิดดีเลย์ ครั้นจะกลับไปโรงแรมก็เกรงว่า จะพลาดเที่ยวบิน จึงตัดสินใจนอนรอที่สนามบิน แม้ต้องเผชิญหน้าประสบการณ์สุดจะบรรยายไม่ต่างจากที่ คุณเมเม่ สาวไทยที่รอดชีวิตจากธรณีพิโรธที่เนปาล ซึ่งทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ได้นำประสบการณ์ดังกล่าวมาให้ท่านผู้อ่านได้อ่านกันแล้ว อ่านได้ที่ "4 วันจำไม่ลืม ฟังจากปาก 2 สาวไทยรอดธรณีพิโรธเนปาล"
จนเข้าวันที่ 28 เม.ย.58 เวลาประมาณ 17.00 น. สองสามีภรรยา ในสภาพสุดจะมอมแมม เพราะไหนจะเจอฝุ่นจากซากปรักหักพังจนแทบจะเอาชีวิตไม่รอด และน้ำท่าไม่ได้อาบมา 3-4 วัน คือพูดง่ายๆ ในหมู่คนไทยที่ขึ้นเครื่องการบินไทยกลับกันมาในเที่ยวนั้น คุณยีนส์และสามี เป็น 2 คนที่อยู่ในสภาพดูไม่ได้และเหม็นมากที่สุด ก็ได้เดินทางกลับประเทศไทยโดยปลอดภัย
แคล้วคลาด รอดตายไม่ใช่ครั้งแรก
วินาทีที่ได้เหยียบขึ้นเครื่องบินของการบินไทย สามีหันมาพูดหยอกเย้ากับหนูว่า "ยีนส์ นี่เรารอดกันมาได้อย่างไร คิดดูสิว่า ในสภาพแบบนั้น หากเราตาย สภาพศพของเราตอนส่งกลับมาเมืองไทย คงไม่สวยแน่นอน แล้วใครมาที่เปิดดูศพของเรา ก็คงบอกเหมือนกัน ว่า ทำไมมันน่าสงสารแท้" พร้อมกับระเบิดเสียงหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
เชื่อหรือไม่ นอกจากเจอประสบการณ์สุดระทึกที่เนปาล ทั้งคุณยีนส์และคุณสก็อต ก็เจอสิ่งที่เหมือนเป็นลางบอกเหตุว่า การเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศในครั้งนี้จะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน เพราะ…
เมื่อวันที่ 10 เม.ย.2558 ในเหตุการณ์คาร์บอมบ์ ที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ใน จ.สุราษฎร์ธานี นั้น หลังจากทั้งสองคน ออกมาได้เพียง 30 นาที ระเบิดก็ทำงาน! หลังจากนั้น ไม่กี่วัน ร้านกาแฟที่ทั้งสองคนเป็นเจ้าของ ก็ถูกงัด แต่ยังดีที่ทรัพย์สินไม่มีอะไรหาย ซึ่งทั้งสองเหตุการณ์ คุณยีนส์ กล่าวว่า "จะเรียกว่าโชคไม่ดีก็ได้นะ แต่อย่างไรก็ยังดีที่เราทั้งสองคนแคล้วคลาดมาได้"
ซึ่งก็คงเป็นดังที่คุณยีนส์ พูดจริง ๆ "แคล้วคลาด" เพราะในช่วงสุดท้ายของการให้สัมภาษณ์กับทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ นั้น ภรรยาสาวสวยคนไทย เล่าให้ฟังว่า "พี่รู้ไหม กรุ๊ปทัวร์คนจีน ที่นั่งเครื่องบินมาลำเดียวกันช่วงเดินทางเข้าประเทศเนปาล และได้พุดคุยสนทนากันบนเครื่อง จนทราบว่ามีจุดหมายปลายทางจะไปปีนเขาเอเวอเรสต์ จนทำให้ส่วนตัวร้องขอสามีว่า อยากจะลองตามไปปีนดูบ้าง แต่สามีปฏิเสธ โดยให้เหตุผลว่า เรามากันแค่ไม่กี่วัน ไปเฉพาะที่เราสามารถไปได้ดีกว่า นั้น เสียชีวิตทั้งหมด ตั้งแต่วันที่ 25 เม.ย.! นี่แหละมั้ง ที่เค้าเรียกว่า แม้โชคร้ายไปบ้างแต่ก็ยังแคล้วคลาด!