ใครจะนึกว่าขณะกำลังเพลิดเพลินชมความงามของโบราณสถานที่เป็นมรดกโลกอยู่ดีๆ จะเกิดเหตุการณ์ระทึกขวัญธรณีสะท้านแผ่นดินสะเทือนไม่ต่างจากหนังฮอลลีวูด จนต้องวิ่งหนีตายสุดชีวิต จากนั้นต้องติดค้างอยู่ที่ซากปรักหักพังของเมืองที่กลายเป็น DEAD CITY นานรวมกว่า 4 วัน กว่าที่จะได้เดินทางกลับแผ่นดินเกิด แต่ในความโชคร้ายยังมีโชคดี ได้เจอมิตรภาพจากหนุ่มเนปาล คอยเทคแคร์จนรอดชีวิต สุดซึ้งให้สัญญาจะระดมหาเงินสร้างบ้านใหม่ทดแทนคุณ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ จะขอนำทุกท่านไปฟังจากปากทุกประสบการณ์จริงที่เกิดขึ้นกับสองสาวไทยที่อยู่ในเหตุการณ์ตั้งแต่วินาทีแรก ตั้งแต่เกิดแผ่นดินไหวระดับ 7.8 ในประเทศเนปาล ดินแดนแห่งยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก...
คุณศุภวัฒน์ แย้มประเสริฐเกล้า หรือ คุณเมเม่ อายุ 30 ปี และคุณธัชญา นักเบศร์ หรือ คุณตุ๊ สองสาวไทย ได้เปิดเผยกับ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ถึงประสบการณ์ระทึกขวัญเฉียดตายที่พวกเธอทั้ง 2 คน ไม่มีวันลืมเลือนไปตลอดชีวิตว่า การเดินทางไปประเทศเนปาลครั้งนี้ ถือเป็นครั้งที่สองในชีวิต โดยสาเหตุที่กลับมาเยือนประเทศเนปาลเป็นคำรบสอง ก็เพราะรู้สึกประทับใจความสวยงามของโบราณสถาน และความเงียบสงบ รวมถึงคนเนปาลที่เป็นคนมีจิตใจดี โดยในครั้งนี้ ได้เดินทางไปถึงตั้งแต่วันที่ 20 เม.ย. และมีกำหนดกลับในวันที่ 27 เม.ย. โดยมีการซื้อตั๋วเครื่องบินกลับเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
...
ฟ้าสะท้านดินสะเทือน แบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว
โดยในวันที่เริ่มประสบการณ์ที่ไม่มีวันลืมไปตลอดชีวิต คือ ในวันที่ 25 เม.ย. พ.ศ.2558 เวลาประมาณ 12.00 น. นั้น ขณะที่เราทั้งสองคน กำลังชมความงดงามของ วัดสถูปสวะยัมภูนาถ หรือ วัดลิง ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองกาฐมาณฑุ ไปทางทิศตะวันตกประมาณ 3 กิโลเมตร ซึ่งในวันดังกล่าวเป็นวันที่คนเนปาลนิยมไปทำบุญกัน จนทำให้วัดซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งสถานที่ชื่อดังของเนปาล คลาคล่ำไปด้วยผู้คน ทั้งนักท่องเที่ยวและชาวเนปาลเองนั้น จู่ๆ ก็ได้เกิดเสียงดังเหมือนกับเครื่องบินพุ่งชนอะไรสักอย่าง ขณะที่กำลังถ่ายรูปกับเพื่อนอยู่บริเวณกลางสะพานทางลงของวัด จากนั้นพื้นก็สั่นสะเทือนมากขึ้นๆ เรื่อย จึงได้ตัดสินใจกับเพื่อนออกวิ่งทันที เพราะรู้สึกว่าต้องมีอะไรบางอย่างผิดปกติแน่นอน โดยระหว่างทางเพื่อนที่วิ่งมาด้วยกันเกิดสะดุดล้มลง จึงหันกลับไปช่วยประคอง ซึ่งวินาทีนั้นเอง ก็ได้เห็นว่า ตัวอาคารต่างๆ ของวัดสถูปสวะยัมภูนาถ ล้มครืนลงมาทับคนที่ใกล้กับจุดเกิดเหตุ ต่อหน้าต่อตา และมีบางคนกระเด็นกลิ้งตกลงมาจากตัวอาคารที่อยู่บนชั้นสูงๆ ลงไปในหุบเหวด้วย จากนั้นก็มีเศษหิน เศษดินจำนวนมากกระเด็นตามออกมา จึงกลั้นใจพร้อมกันกับเพื่อนวิ่งหนีออกมาให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยยอมรับเลยว่าตอนนั้นคุมสติตัวเองไม่ได้ ร้องไห้ กรีดร้องด้วยความกลัวมาตลอดทาง คิดในใจแต่ว่า "ทำไมฉันถึงต้องมาอยู่ตรงนี้ด้วย"
เห็นบ้านเรือนพังครืนลงต่อหน้าต่อตา
โชคดีต่อมาสังเกตเห็นคนเนปาลจำนวนมากวิ่งหนีไปยังบริเวณตรงข้ามกับวัดลิง ซึ่งเป็นสถานที่คล้ายๆ กับที่ตั้งของค่ายทหารขนาดเล็กของเนปาล ซึ่งมีสนามหญ้าโล่งๆ เหมือนสนามฟุตบอลอยู่ จึงตัดสินใจวิ่งตามไป เพราะคิดในใจว่า จะเอาชีวิตให้รอดก็คงต้องไปอยู่ในจุดที่ไม่มีอาคารใดๆ อยู่ใกล้เคียง เพราะแผ่นดินสั่นไหวขนาดนี้ หากอยู่ใกล้อาคารก็คงไม่แคล้วถูกซากปรักหักพัง หล่นลงมาทับแน่นอน โดยระหว่างที่นั่งอยู่นั้น ก็ต้องเห็นภาพสลดใจคือ อาคารบ้านเรือนต่างๆ ถูกธรณีพิโรธ จนถล่มลงมาครั้งแล้วครั้งเล่า ต่อหน้าต่อตาตลอดเวลา
...
ขอไปตายเอาดาบหน้า หาพาสปอร์ต แม้เจอหลอนด้วยอาฟเตอร์ช็อก
คุณเมเม่ เล่าวินาทีระทึกใจกับผู้สื่อข่าวทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือต่อไปว่า ตั้งหลักอยู่สนามหญ้านั้นได้ประมาณ 3-4 ชั่วโมง โดยไม่กล้าเดินออกไปไหน เนื่องจากยังมีอาฟเตอร์ช็อก ตามมาอีกประมาณ 20 กว่าครั้ง จนถึงเวลาประมาณ 17.00 น. บรรยากาศเริ่มใกล้จะมืด จึงหารือกับเพื่อนที่มาด้วยกันว่า คงต้องกลับไปโรงแรมเพื่อเอาทรัพย์สินต่างๆ และที่สำคัญที่สุดคือ พาสปอร์ตและตั๋วเครื่องบินสำหรับเดินทางกลับก่อน เพราะหากไม่มีพาสปอร์ตและตั๋วเครื่องบิน การเดินทางกลับประเทศไทยคงต้องเผชิญกับความยุ่งยากต่างๆ นานา แน่นอน เลยเอาวะ เป็นไงเป็นกัน เพราะหากยังกลัวอยู่ ปล่อยเวลาให้มืดค่ำกว่านี้ จะยิ่งเดินทางกลับโรงแรมลำบาก เลยออกเดินมากัน 2 คน แม้ทหารเนปาลจะพยายามห้ามปราม และแนะนำให้ติดต่อกับสถานทูตไทย น่าจะเป็นทางออกที่ดีกว่า แต่เมื่อตนกับเพื่อนพยายามใช้โทรศัพท์ติดต่ออย่างไร ก็ไร้ผล เพราะแผ่นดินไหวได้ทำลายระบบสาธารณูปโภค และการติดต่อสื่อสารของเมืองกาฐมาณฑุจนย่อยยับแล้ว จึงตัดสินใจเดินไปตายเอาดาบหน้าดีกว่า แม้ในช่วงนั้นจะยังมีอาฟเตอร์ช็อกหลายครั้งก็ตาม
เมื่อเลือกที่จะยอมเสี่ยง 2 สาวไทย จึงออกเดินเท้าออกมา เพื่อมุ่งหน้ากลับโรงแรมที่พักในย่านทาเมล (Thamal) ท่ามกลางสภาพสองข้างทางเต็มไปด้วยบ้านเรือนที่ปรักหักพัง ศพคนตาย ถนนมีรอยแตกแยก เสาไฟฟ้าที่โค่นลงมากองอยู่กับถนน และชาวเนปาลที่กำลังร่ำไห้ เมื่อเดินถึงโรงแรมที่พัก ก็ทำให้ใจชื้นขึ้นเล็กน้อย และคิดว่าอย่างไรตัวเองก็ยังมีโชคอยู่บ้างเพราะ...
"ทำไมจะไม่โชคดีล่ะพี่ ก็โรงแรมอื่นๆ ที่อยู่ใกล้เคียงหรือที่อยู่รายรอบกับที่หนูสองคนพักอะ ถล่มลงมาหมดสิ้น เว้นแต่โรงแรมของเราค่ะ และที่สำคัญโรงแรมที่เราสองคนเกือบจะตัดสินใจเข้าพัก ก่อนที่จะมาเลือกที่นี่ ก็พังทลายเป็นเศษอิฐเศษปูนกองลงมากับพื้นด้วย" คุณเมเม่ ระบายความรู้สึกกับทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์
...
ตอนหลังมาคุยกันเองสองคนว่า ดีนะเดชะบุญที่พวกเรายอมจ่ายแพงขึ้นอีกนิดหน่อย ไม่งั้นการกลับเมืองไทยคงลำบากแน่นอน เพราะทรัพย์สิน พาสปอร์ต และตั๋วเครื่องบินสำหรับเดินทางกลับอยู่ในโรงแรมทั้งหมด แต่แม้โรงแรมจะไม่ถล่มลงมา แต่ก็มีรอยร้าวอยู่หลายจุด เมื่อพยายามขอขึ้นไปเอาทรัพย์สินก็ถูกเจ้าหน้าที่ปฏิเสธ เพราะเกรงจะไม่ปลอดภัย แต่สาวไทยทั้งสองนี้หรือจะยอม สุดท้ายจึงได้เข้าไปเอาทรัพย์สินออกมาได้สำเร็จ โดยใช้เวลากวาดสิ่งของทุกอย่างลงกระเป๋าในห้องพักที่อยู่ชั้น 4 เพียงไม่ถึง 10 นาที เพราะในใจเองก็หวั่นๆ กลัวว่าอาคารจะถล่มลงมาเหมือนกัน เนื่องจากยังมีอาฟเตอร์ช็อกอยู่
...
ในโชคร้ายยังมีโชคดี ฟ้าส่งหนุ่มเนปาลน้ำใจงาม มาช่วยชีวิต!
หลังจากเสร็จภารกิจกวาดทรัพย์สินลงกระเป๋า เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางต่อไป ก็ให้อบอุ่นหัวใจและคิดว่าตัวเองมีโชคดีอีกเป็นครั้งที่ 2 เมื่อ หนุ่มชาวเนปาลชื่อ Bekky อายุ 22 ปี ที่รู้จักกันที่สถานที่เที่ยวแห่งหนึ่ง ก่อนหน้าที่จะเกิดแผ่นดินไหว เข้ามาให้ความช่วยเหลือ โดยพาเราทั้งสองสาวเดินเท้าออกจากย่านทาเมล ที่ในเวลานี้แทบจะเหลือเพียงกองอิฐกองปูน ไปอยู่ในสถานที่หลบภัยชั่วคราว ซึ่งชาวเนปาล ช่วยกันคนละไม้คนละมือสร้างขึ้น โดยนำเอาเต็นท์ และอาหารที่เหลืออยู่ตามบ้านที่สามารถเอาออกมาได้ มาแบ่งกันกิน โดยกว่าจะเดินเท้าถึงก็เป็นเวลาประมาณ 20.00 น. แล้ว เรี่ยวแรงแทบจะหมด หิวก็หิว แต่ในยามวิกฤติแบบนั้น น้ำใจที่ Bekky หยิบยื่นให้ก็ทำให้รู้สึกประทับใจเป็นเท่าทวี เพราะแม้บ้านเรือนเค้าจะพังทลายแทบไม่เป็นชิ้นดี ก็ยังอุตส่าห์หยิบยื่นเอาอาหารเท่าที่หาได้ มาให้สองสาวไทยกินประทังชีวิต แม้จะเป็นเพียงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปซองเดียว และน้ำ 1 ขวด แบ่งกันกินสองคน แต่ในยามนั้น แม้ได้เพียงฉีกกินมาม่าแห้งๆ แบ่งกัน ก็ทำให้สองสาวไทยกินพออิ่มท้องและอบอุ่นหัวใจอย่างที่สุดแล้ว
อาฟเตอร์ช็อกตามหลอน ข่มตานอนไม่ไหว
"หลังจากได้กินพออิ่ม ก็พยายามข่มตานอน เพราะเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว แต่พี่เชื่อไหม หนูกับเพื่อนนอนไม่หลับเลย เพราะหลับตาทีไรแผ่นดินมันก็สั่นไหวทุกที แถมสักประมาณ 03.00 น. คราวนี้สั่นมากกว่าทุกครั้ง จนอาคารที่อยู่ด้านข้างถล่มลงมาอีก คราวนี้เราสองคน เลยนอนไม่หลับไปจนถึงเช้าเลย แม้ว่าจะรู้สึกเหนื่อยสายตัวแทบขาดก็ตาม สติสตังนี่ไม่ต้องพูดถึง กระเจิดกระเจิงหมดแล้ว หนูร้องไห้หนักมาก ตอนนั้นคิดอย่างเดียวอยากจะกลับเมืองไทย ก็ได้อาศัยหนุ่มเนปาลผู้มีน้ำใจงามคนนี้แหละ ช่วยปลอบใจ"
กระทั่งเช้าเวลา 06.00 น. วันที่ 26 เม.ย.58 จึงหารือกับเพื่อนชาวเนปาล เพื่อหาทางไปยังสนามบินกาฐมาณฑุ ซึ่งพ่อหนุ่ม Bekky ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ก็สามารถหารถมานำทางพวกเราไปยังสนามบินจนได้ แม้ว่าจะต้องจ่ายค่ารถสูงกว่าปกติถึงประมาณ 500 บาท จากราคาเดิมที่ไม่เกิน 30 บาท ก็ตาม
สุดสลดหดหู่ ต้องเดินทางผ่านซากคนตาย ทั้งเมืองกลายเป็น DEAD CITY
แต่พอออกเดินทาง ก็รู้สึกว่าที่จ่ายไปไม่แพงเลย เพราะเส้นทางเดิมที่เคยใช้ได้นั้นได้ถูกทำลาย หรือไม่ก็มีเสาไฟฟ้าที่หักลงมาขวางทางจนใช้การไม่ได้ ต้องขับรถอ้อมไปอีกไกลกว่าจะถึงสนามบินได้ โดยระหว่างทางก็ยิ่งทำให้ต้องสลดหดหู่ใจตลอดเวลา เพราะจะเห็นศพคนตายเกลื่อนตามท้องถนน และความพินาศของบ้านเมืองแทบจะตลอดเวลา
"บางศพโดนเสาไฟฟ้าล้มทับ บางศพเหมือนกระโดดทะลุออกมาจากหน้าต่าง จากตึกที่มันกำลังเอียง คนบาดเจ็บถูกทิ้งเกลื่อนถนน ไม่มีใครช่วย เป็นอะไรที่รู้สึกสยดสยองมากเลยพี่ สภาพที่เห็นไม่ต่างจาก DEAD CITY เลย"
เมื่อไปถึงสนามบิน เมื่อแรกคิดว่าปลอดภัยแล้ว อย่างไรก็ได้กลับบ้านสักที แต่...
เมื่อถึงสนามบิน จึงหารือกันสามคนว่า ควรจะไปหาเช่าโรงแรมที่อยู่ใกล้ๆ ที่ดูน่าจะปลอดภัยเพื่อพักผ่อนก่อน เพราะไม่ได้กินแบบอิ่มๆ หรืออาบน้ำอาบท่ามาหลายวันแล้ว แต่อยู่ได้เพียง 1 ชั่วโมง ก็เกิดอาฟเตอร์ช็อกค่อนข้างรุนแรงอีก ทางเจ้าหน้าที่โรงแรม จึงขอร้องให้ออกจากอาคารเพราะเกรงว่าจะไม่ปลอดภัย แม้จะได้ห้องอยู่ชั้นแรกก็ตาม จึงจำใจต้องเดินเข้าไปพักในสนามบินแทน...
สนามบินไม่ต่างจากนรก คนเพียบ แถมมีของแถม เจอสารพัดอึนานาชาติ!
แต่เมื่อเข้าไปในสนามบินก็แทบผงะ เพราะสถานที่แทบจะถูกตารางนิ้ว คลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่ต่างอยากจะเดินทางกลับบ้านของตัวเอง แทบจะเรียกได้ว่า "มดก็แทบจะไม่มีที่จะยืน" แถมยังสกปรกเกินกว่าจะบรรยายได้ เพราะเต็มไปด้วยขยะนานาชนิด ห้องน้ำนี่ไม่ต้องพูดถึง กองอุจจาระ เต็มไปทุกที่ ทั้งฝาโถ แม้กระทั่งกำแพง! ใครจะเชื่อ แต่…แม้จะต้องเผชิญกับความสกปรกแบบนี้ แต่สองสาวสุดสวยของเรา เมื่อไม่มีทางเลือก ก็ต้องใช้วิธีย่อง...
"ใครลุกจากที่ของตัวเองเมื่อไหร่ ก็จะถูกอีกคนเข้าแย่งทันที ข้าวของนี่ห้ามวางทิ้งไว้ เพราะแม้แต่กระดาษหนังสือพิมพ์ก็ยังจะถูกแย่งเลย ข้าวก็ไม่มีจะให้ซื้อกิน เกิดมาในชีวิตนี้ไม่เคยเจออะไรแบบนี้เลยพี่ ห้องน้ำสุดจะบรรยาย อุจจาระนี่เต็มไปหมด หนูรับไม่ได้เลย แต่สุดท้ายเมื่อไม่มีทางเลือกก็ต้องจำใจ ใช้วิธีย่องหลบหลีกกองอุจจาระนานาชาติเหล่านั้น ปลดทุกข์ให้กับตัวเองจนได้ แต่พี่รู้ไหมอุจจาระนานาชาติ ที่หนูกับเพื่อนเจอนะ ไม่ได้มีแค่ในห้องน้ำนะ ด้านนอกห้องน้ำก็เจอ สุดจะบรรยายเลยค่ะ เพราะคนอินเดีย หรือคนเนปาล เรื่องการขับถ่าย เค้าไม่ค่อยแคร์"
ได้พระเอกน้ำใจงาม ช่วยหาของกินประทังชีวิตให้!
ยามคับขันแบบนี้ ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร ก็ได้พระเอกหนุ่มชาวเนปาลใจงามคนเดิมคนนี้ โดดเข้ามาช่วยอีกตามเคย โดยไปหาอาหารท้องถิ่น ซึ่งก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร มันมีลักษณะคล้ายๆ ข้าวผสมเนื้อควายมาให้กิน ตอนแรกก็กินไม่ได้ แต่เมื่อหิวจัดๆ ไม่รู้จะทำไง ก็ต้องกินกันตายไป
ส่วนที่จะหลับจะนอนนั้น หันรีหันขวางไม่รู้จะทำไง ก็เลยไปอาศัยนอนที่ใกล้ๆ กองขยะ ด้านนอกอาคาร ซึ่งค่อนข้างจะปลอดผู้คนสักหน่อย แต่ก็ทรมานทรกรรมมาก เพราะนอกจากจะมีอาฟเตอร์ช็อกแล้ว ช่วงกลางคืนอากาศจะหนาว แถมหนาวไม่พอ ยังมีฝนตกลงมาซ้ำอีก ทำให้อุณหภูมิลดลงเหลือแค่ประมาณ 7 องศาเซลเซียส เท่านั้น ทำให้รู้สึกทรมานไม่ต่างจากถูกแช่แข็งสักเท่าไหร่
นอกจากนี้ ก่อนจะนอนยังต้องสำรวจดีๆ ว่า มีน้ำลายอยู่ตามพื้นที่จะนอนหรือเปล่า เพราะแทบทุกตารางนิ้วในอาคารสนามบิน หรือแม้แต่นอกอาคารก็ตาม เต็มไปด้วยน้ำลายทั้งนั้น น้ำไม่ได้อาบมาหลายวัน แถมยังต้องมาเจออะไรที่สกปรกแบบนี้ สองสาวก็แทบจะรับไม่ได้เอาเสียเลย แต่ก็ต้องทนไปให้หมดไปอีก 1 วัน แต่ก็ยังโชคดีที่ได้หนุ่มเนปาลจิตใจงาม นามว่า Bekky มาอยู่ข้างกายให้อุ่นใจ
ร้องไห้หนักมาก! เจอเครื่องดีเลย์ต้องนอนสนามบินต่ออีกวัน!
พอถึงวันที่ 27 เม.ย.58 ก็คิดในใจกันสองคน ทนกันอีกอึดใจเดียว เราจะได้กลับบ้านแล้ว แต่ที่ไหนได้ มาได้รู้ข่าวร้ายว่า เครื่องบินที่จะมารับเกิดดีเลย์ ไม่สามารถมาลงจอดสนามบินได้ตามกำหนด เล่นเอาใจหายวูบ คิดในใจกันว่า "นี่เราต้องทนอยู่ในสภาพน่าเวทนา ที่อยู่ที่นอนก็สกปรกเกินบรรยาย น้ำท่าก็ไม่ได้อาบ ข้าวก็ไม่มีจะกิน น้ำก็ต้องเที่ยวไปเข้าคิวอ้อนวอนขอเอาจากคนอื่นต่อไปอีกคืนหรือนี่" แต่ในเมื่อไม่มีทางเลือก ก็ต้องจำทนต่อไปอีก 1 คืน
ได้กลับบ้านเสียที แต่...
ย่างเข้าอีกวัน วันที่ 28 เม.ย.58 คิดว่าอุ่นใจแล้ว ยังไงก็จะได้กลับบ้านสักที ได้เช็กอินตั้งแต่เวลา 11.50 น. แต่ระหว่างที่รอก็เกิดมีเรื่องที่ทำให้ต้องอกสั่นขวัญหายกันอีก เพราะได้เกิดฝนตกลงมาแถมยังเกิดข่าวลือในหมู่ผู้รอคอยชาวไทยกันว่า ในเวลา 14.00 น. จะเกิดอาฟเตอร์ช็อกครั้งรุนแรงขึ้นมาอีก ซึ่งทั้งสองปัจจัยนี้ เสี่ยงที่จะทำให้เครื่องที่จะพากลับแผ่นดินไทยเกิดดีเลย์ขึ้นมาอีก
"ตอนนั้น คิดอย่างเดียว โอ๊ย อะไรมันจะซวยซ้ำซวยซ้อนขนาดนี้ เมื่อไหร่ จะได้กลับบ้านเสียที"
ระหว่างนั้น คนไทยทุกคน ต่างก็แหงนหน้าดูว่า เมื่อไหร่เครื่องบินโดยสารของการบินไทย จะแตะพื้นสนามบินสักที เพราะตอนนั้นทุกคนอยากจะกลับบ้านกันแล้ว แถมเวลาที่มีเครื่องบินของสัญชาติไหนมาลงที่สนามบิน คนชาตินั้นก็จะส่งเสียงเฮฮา กรี๊ดกร๊าดกัน ทำเอาคนไทยที่รอคอยลุ้นเครื่องบินเหมือนบัวแล้งน้ำ ค่อยๆ หน้าเหี่ยวลงทุกที จนกระทั่งเวลาประมาณ 17.00 น. ก็ถึงคราวคนไทยได้เฮกันสักที เพราะเครื่องบินสีม่วงๆ ที่รอคอยก็แตะพื้นสนามบินกาฐมาณฑุในที่สุด
สุดอารมณ์เสีย เจอดึงตัวให้ถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ทั้งที่ใจอยากกลับบ้านเต็มแก่แล้ว
แต่แทนที่จะได้ขึ้นเครื่องกลับกันสักที ก็มีเรื่องให้อารมณ์เสียเล็กน้อย เพราะหมู่คนที่กำลังรอคอยเหล่านี้ ถูกดึงตัวไปร่วมพิธีการถ่ายรูปร่วมกับหน่วยกู้ภัยของญี่ปุ่น ที่บินมากับเครื่องของการบินไทย ทั้งๆ ที่ไม่เต็มใจแม้แต่น้อย เพราะอยู่ในสภาพแบบนั้นใครๆ ก็อยากจะรีบๆ ขึ้นเครื่องกลับบ้านแล้ว
"ตอนนั้น บอกเลยว่าอารมณ์เสียมาก ทำไมจะต้องให้ไปทำอะไรแบบนั้น รู้มั้ยว่าคนมันเหนื่อยและเพลีย น้ำก็ไม่ได้อาบ และนอนในที่สกปรกมาหลายวันแล้ว หิวก็หิว ทำไมไม่เห็นใจกันบ้าง คนเขาอยากจะรีบขึ้นเครื่อง แล้วก็รีบกลับบ้านกันทั้งนั้น"
ไม่ลืมหนุ่มแสนดี! ให้คำมั่นระดมเงินบริจาคมาสร้างบ้านใหม่ให้
ก่อนจะกลับ ยังไงก็คงไม่สามารถลืมมิตรภาพที่หนุ่มแสนดีชาวเนปาลหยิบยื่นให้ในช่วงเวลาที่สุดคับขันอย่างแน่นอน นอกจากคำว่าขอบคุณอย่างสุดซึ้งแล้ว ยังได้มอบเงินที่เหลืออยู่ทั้งหมดในตัว คิดเป็นเงินไทยประมาณ 6 พันบาท ให้พ่อหนุ่มใจงามเอาไว้ใช้ดูแลตัวเอง ซึ่งเงินจำนวนนี้ สามารถใช้สำหรับค่าครองชีพในประเทศเนปาลได้นานถึงประมาณสามเดือน พร้อมกับให้คำมั่นสัญญาว่า เมื่อกลับถึงประเทศไทย จะหาทางระดมเงินบริจาค ส่งมาให้การช่วยเหลือเพื่อสร้างบ้านหลังใหม่ ทดแทนบ้านหลังเก่าของเค้าที่ถูกธรณีพิโรธทำลายจนไม่เหลือซากต่อไป
วินาทีที่ได้ขึ้นเครื่องและบินมุ่งหน้ากลับประเทศไทยนั้น บอกคำเดียวเลยว่า คิดถึงแม่มาก อยากจะกลับไปกอดแม่ให้เร็วๆ เพราะได้ข่าวมาว่า แม่ปิดร้านไม่ทำงานเพื่อพยายามตามหามา 3 วันแล้ว
คิดว่ารอดตายมาได้ราวปาฏิหาริย์เพราะอะไร
ส่วนตัวมีความผูกพันกับแม่มาก เวลาจะไปเมืองนอกเมืองนา ก็จะให้ผู้เป็นแม่เหยียบหัวเพื่อความเป็นสิริมงคลทุกครั้ง นอกจากนี้ คิดว่าเป็นบุญญาภินิหารขององค์พระพิฆเนศ ที่เวลาเดินทางไปที่ประเทศใด ก็จะนำกลับมาสักการะบูชาที่บ้าน และได้บูชามาตั้งแต่อายุ 15 ปีจนกระทั่งถึงปัจจุบัน
และหลังจากนี้ ก็จะต้องไปทัวร์ทำบุญที่วัดชนะสงคราม วัดเล่งเน่ยยี่ และวัดหัวลำโพง รวมถึงไปทำบุญ 9 วัด ตั้งแต่ จ.สุราษฎร์ธานี จนถึง จ.นครศรีธรรมราช เพื่อความเป็นสิริมงคลต่อไป
ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ เห็นสิ่งอัศจรรย์ลางบอกเหตุ ก่อนธรณีพิโรธ!
ไม่อยากจะเชื่อก็ต้องเชื่อ ก่อนจะเกิดแผ่นดินไหวเพียงไม่นาน ขณะที่สองสาวอยู่ที่วัดสถูปสวะยัมภูนาถ ได้สังเกตเห็นผู้หญิงแต่งกายคล้ายนักบวช กำลังสวดมนต์นับลูกประคำอยู่ดีๆ ก็เกิดสายลูกประคำขาด จากนั้นผู้หญิงที่แต่งกายคล้ายนักบวชคนนั้น ก็ร้องกรี๊ดขึ้นมาเสียงดัง ร่างกายสั่นเทิ้มโดยไม่ทราบสาเหตุ จากนั้นเพียงไม่ถึง 15 นาที ก็เกิดแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งของเนปาลขึ้น จนคร่าชีวิตประชาชนไปแล้วกว่า 5,000 ราย คุณเมเม่ เล่าทิ้งท้ายให้แฟนๆ ไทยรัฐออนไลน์ได้ฟัง.
*** ขอบคุณภาพประกอบทุกภาพจาก คุณศุภวัฒน์ แย้มประเสริฐเกล้า ***