"พระเกษม" นุ่งขาวห่มขาว ลาสิกขาเพราะไม่อยากให้ทางโลกวุ่นวาย แต่ยืนยันไม่ได้ปาราชิก และอาจบวชใหม่เมื่อเวลาเหมาะสม ถ้าไม่บวชจะหาเมีย 2สอง ไม่เอาผู้ชาย ด้านลูกศิษย์ยังเคารพเหมือนเดิม...

วันที่ 18 ม.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานสถานการณ์ในสำนักสงฆ์สามแยก บ้านห้วยยางทอง ต.วังกวาง อ.น้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์ หลังอดีตพระเกษม อาจิณฺณสีโล ขอสิกขาลาเพศสมณะว่า บรรยากาศภายในวัด ยังมีกลุ่มลูกศิษย์ปฏิบัติภารกิจอยู่ภายในพื้นที่ราว 100 คนเศษ สีหน้าของแต่ละคนอยู่ภาวะปกติ ไม่มีอาการโศกเศร้าเสียใจแต่อย่างใด โดย นายศิวนาถ แสนแก้ว อายุ 43 ปี อยู่บ้านเลขที่ 51/260 หมู่ 6 ต.สาธงหิน อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี ลูกศิษย์ผู้ใกล้ชิดอดีตพระเกษมเผยว่า ช่วงเวลาประมาณ 20.40 น. ของวันที่ 17 ม.ค.ที่ผ่านมา ลูกศิษย์ราว 200 คน พร้อมพระลูกวัดอีก 4 รูป ได้ทำการไต่สวนเรื่องราวการออกมายอมรับของพระเกษมที่ได้เสพเมถุนกับลูกศิษย์ชายภายในวัดสามแยก ซึ่งมีการถกเถียงถึงการกระทำของอดีตพระเกษม เข้าองค์ประกอบ 4 ในพระไตรปิฎกหรือไม่เพื่อหาข้อยุติ

"เมื่อสอบถามเหตุการณ์ที่อดีตพระเกษมเสพเมถุนครั้งแรกกับลูกศิษย์ใกล้ชิด ราวเดือน ก.ค. 2556 ที่ห้องพักรับรองของลูกศิษย์คนหนึ่งที่กรุงเทพ อดีตพระเกษมเล่าให้ฟังว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นมีสาเหตุเกิดจากการเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางไกล เป็นอาการที่อยู่ในภาวะเบลอจึงกระทำด้วยการมีสติสัมปชัญญะที่ไม่ครบสมบูรณ์ และไม่ได้รู้สึกยินดีเมื่อเสร็จกิจเพราะทำไปแบบไม่รู้สึกตัว คณะสงฆ์ลูกศิษย์ทั้ง 4 รูป จึงลงความเห็นว่ายังไม่ปาราชิก อีกทั้งพระธรรมวินัยก็ยังไม่สรุปแบบฟันธงว่าการกระทำที่ไม่รู้สึกตัวนั้นว่าเป็นปาราชิก อย่างไรก็ดี เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาทางโลกที่อาจถูกดำเนินคดีข้อหาแต่งกายเลียนแบบสงฆ์ เพราะมีคำสั่งจากพระชั้นเถระ อดีตพระเกษมจึงยอมเสียสละเส้นทางชีวิตพระ ด้วยการกล่าวลาสิกขาอย่างถูกต้องและเปลี่ยนนุ่งห่มขาว ตั้งแต่ช่วงเวลาตีหนึ่งวันนี้" นายศิวนาถ ระบุ

...

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มว่า กระทั่งเวลา 15.30 น. อดีตพระเกษม หรือ นายเกษม ดวงแพงมากอายุ 54 ปี เดินออกจากกุฏิมาพบผู้สื่อข่าวภายในห้องฉันอาหาร ด้วยการแต่งกายนุ่งห่มเสื้อยืดและกางเกงขายาวสีขาว สวมทับด้วยเสื้อกันหนาวสีเทา อาการสงบเรียบร้อยไม่แข็งกร้าวเหมือนครั้งห่มผ้าเหลือง พร้อมพูดคุยถึงเหตุที่ลาสิกขา

นายเกษม กล่าวว่า เหตุการณ์ดังกล่าวนั้นทางวินัยไม่ได้เอาโทษ แต่ทางกฎหมายนั้นเอาโทษ จึงทำการสึกและขออยู่ดูแลรักษาพระธรรมวินัยต่อไป การสึกครั้งนี้ไม่มีใครบังคับ พระลูกศิษย์ก็วินิจฉัยแล้วว่าไม่ต้องอาบัติ แต่จำต้องสึกเพราะมีเรื่องของการดำเนินคดี ส่วนลูกศิษย์ที่ได้ไปละเมิดนั้น ก็รู้อาการว่าตนเองไม่สามารถควบคุมตนเองได้ และเขาก็ไม่สามารถยับยั้งเราได้จึงผิดพลาดไป

"ขอยอมรับไม่ขัดขืนอยู่ต่อไป โดยวันที่จะทำการสึกจริงๆ จากที่เข้าใจว่ามีพลังแห่งการหลุดพ้น กล้าหาญชาญชัย พลังที่ว่าก็หายวับไป และกลับมามีภาวะจิตเหมือนปกติ จึงเกิดความกลัว และเข้าใจได้ว่าได้กลายเป็นปุถุชนธรรมดา เป็นที่มาของการตัดสินใจสึก และเมื่อสึกแล้วก็จะขอต่อสู้เรื่องศาสนาต่อไป แต่ไม่รู้ว่าจะต่อสู้แบบไหนต่อไป แต่ขอยืนยันว่าไม่ได้ปาราชิก และสามารถกลับมาบวชได้ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ คงเป็นเวลาอื่นที่เหมาะสม อีกทั้งตอนนี้ ยังได้รับแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาของวัดสามแยก ทุกคนที่นี่ยังรักและเคารพในฐานะอาจารย์ผู้รู้ธรรมะ ไม่ได้ไล่ให้ไปที่ไหน" นายเกษม กล่าว

นายเกษม ยังย้ำด้วยว่า การปาราชิกนั้นคือการปลดผ้าเหลืองออกทันทีโดยไม่ต้องลั่นกรรมวาจา ตนได้รับมติจากคณะสงฆ์ในวัดแล้วว่าตนไม่ผิด แต่ถ้าหากมีหนังสือจากพระเถระชั้นผู้ใหญ่ให้ถือว่าผิดเป็นปาราชิก ก็จะไม่สามารถกลับมาบวชได้ใหม่อีกครั้ง หากสังคมที่วัดไม่ให้อยู่ก็จะไปอยู่ที่วัดอื่นต่อไป อย่างไรก็ดี ในเรื่องการถือศีลเมื่อวานนี้ถือ 8 ข้อ วันนี้ถือ 5 ข้อ

ส่วนสาเหตุที่ทำให้เรื่องดังกล่าวกลายเป็นข้อวิพากษ์ในสังคม ทั้งที่ความผิดที่เกิดขึ้นได้มีการตรวจสอบและไต่สวน รับสารภาพ และได้วินิจฉัยความผิดไปกว่า 1 ปีแล้วนั้น นายเกษม เล่าว่า มาจากกรณีที่ พระพันธกานต์อภิปัญโญ หรือ พระหม่าว ที่เคยจำวัดอยู่ที่แห่งนี้นานนับสิบปี ได้ออกไปจำวัดอยู่ที่ จ.อุดรธานี แล้วนำเรื่องนี้ไปเปิดเผย โดยอ้างว่าตนมีอำนาจอิทธิฤทธิ์ ควบคุมภายในวัดไม่ให้ตรวจสอบเรื่องนี้ได้ สังคมเลยให้ความสนใจและสืบหาความจริง

"ยืนยันว่าไม่ได้ชอบผู้ชาย เมื่อสึกออกมาเป็นฆราวาส หากต้องมีคู่ครองก็คงจะเป็นหญิง และหญิงคนนั้นจะต้องสวยด้วย ซึ่งอาจจะมีภรรยาถึงสองคน" นายเกษม กล่าวพร้อมหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

ด้าน น.ส.สุตรีรัตน์ ศรีวิภักดิ์ อายุ 30 ปี อดีตครูโรงเรียนชื่อดังแห่งหนึ่ง ในฐานะลูกศิษย์อดีตพระเกษม กล่าวชื่นชมความกล้าหาญของอดีตพระเกษมว่า  ท่านมีความกล้าหาญและแมนมากที่กล้าสึก น้อยคนที่ทำผิดแล้วยอมรับผิด ทั้งที่ตนเองยังเชื่อมั่นว่าอดีตพระเกษมยังไม่ต้องปาราชิกเพราะกระทำไปโดยไม่รู้สึกตัว ภูมิใจที่ได้เป็นลูกศิษย์อดีตพระเกษมไม่รู้สึกเสียใจ  ยังคงเชื่อในคำสั่งสอนของท่าน   

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ขณะที่ลูกศิษย์อีกหลายต่างยินยอมพร้อมใจที่ก้มกราบอดีตพระเกษมในฐานะญาติผู้ใหญ่ ครูบาอาจารย์ ที่มากด้วยความรู้ ส่วนลูกศิษย์ที่ดูแลใกล้ชิดและร่วมเสพเมถุนกับอดีตพระเกษมนั้น ยังคงอาศัยอยู่ในวัดแต่ไม่ได้ไปดูแลใกล้ชิดแล้ว ซึ่งอดีตพระเกษมยังคงพักอาศัยในกุฏิเดิม และให้ลูกศิษย์เข้าไปดูแลครั้งละ 2 คนเพื่อป้องกันการติฉินนินทาจากภายนอก