ครบครึ่งทศวรรษ พอดิบพอดี กับการจับกุมนางกันต์กนิษฐ์ อังกินันทน์ ลูกสาวนายปิยะ อังกินันทน์ อดีต ส.ส.เพชรบุรี พรรคไทยรักไทย ที่ออกอุบายสวมศพเป็นผู้เสียชีวิตจากโศกนาฏกรรมสึนามิ พร้อมเนรมิตรใบหน้าใหม่เพื่อหลบหนีคดี กับนายชาญชัย ชิ้นศิริ สามี ในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงถึง 63 คดี คิดเป็นมูลค่าเกือบหมื่นล้านบาท! …

เป็นคดีดังที่เขย่าสังคม!?!

ปฐมบทของคดี เริ่มต้นจากบริษัทประกอบธุรกิจค้าน้ำมันแห่งหนึ่งใน ต.มหาชัย จ.สมุทรสาคร เข้าแจ้งความดำเนินคดีในข้อหาฉ้อโกง ต่อ นางกันต์กนิษฐ์ แต่พนักงานสอบสวนเจ้าของคดีแจ้งกลับไปว่า นางกันต์กนิษฐ์ ได้สิ้นลมหายใจจากภัยพิบัติสึนามิแล้ว คดีนี้จึงเกมโอเวอร์ แต่ความเสียหายของคดีนี้สูงคณานับ ซึ่งมีมูลค่าถึง 3,000 ล้านบาท ส่งผลให้ผู้เสียหายค่อนข้างติดใจกับการเสียชีวิตในครั้งนี้ ประกอบกับการสูญเสียชีวิตครั้งนี้มีสิ่งผิดปกติ ซึ่งครอบครัวของนางกันต์กนิษฐ์ ไม่ได้แสดงออกถึงอาการเสียใจ หรือความโศกเศร้าออกมาเหมือนกับปุถุชนทั่วไป และพบว่านายชาญชัย ได้สินไหมทดแทนจากประกันชีวิตร่วม 2 ล้านบาท

...


1 สิงหาคม 2548 ผู้เสียหายเจ้าเดิมเข้าร้องขอความเป็นธรรมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกองบังคับการปราบปราม ขอความเป็นธรรมกับ พล.ต.ต.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผู้บังคับการกองปราบปราม ในขณะนั้น ผู้การฯ พงศ์พัฒน์ จึงสั่งการให้ พ.ต.ท.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ รอง ผกก.ช่วยราชการ บก.ป.ตรวจสอบข้อเท็จจริง

คู่กรณีสงสัยว่าเรื่องนี้อาจมีเงื่อนงำ!??

เมื่อ พ.ต.ท.ธีรเดช รับคำสั่ง จึงเดินหน้าตรวจสอบสำเนาบันทึกประจำวัน จาก สภ.เมืองระนอง เจ้าของพื้นที่เกิดสึนามิ ตามที่ครอบครัวของนางกันต์กนิษฐ์ แจ้งว่าเธอเสียชีวิต อ้างว่าพบศพที่ริมทะเล หมู่ 1 ต.เกาะพยาม อ.เมือง จ.ระนอง โดยหลักฐานเดียวที่ยืนยันการเสียชีวิต คือบัตรประจำตัวประชาชน ที่ระบุเลขรหัสบัตรประจำตัวทั้ง 13 หลัก รวมถึงระบุชื่อ กันต์กนิษฐ์ อังกินันทน์ ซึ่งศพได้ถูกนำศพไปบำเพ็ญกุศลตามศาสนาที่วัดสุวรรณคีรีวิหาร ค.เขานิเวศน์ อ.เมือง จ.ระนอง


ตำรวจจึงเดินหน้าขยายผลต่อ

ชุดสืบสวนประสานไปยังสำนักทะเบียนราษฎร กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย เพื่อตรวจสอบรายละเอียด เกี่ยวกับการทำบัตรประจำตัวประชาชนของนางกันต์กนิษฐ์ พบว่าก่อนเกิดสึนามิได้ไม่นาน นางกันต์กนิษฐ์ ไปทำบัตรประจำตัวประชาชนที่สำนักงานเขตบางพลัด กรุงเทพฯ โดยแจ้งว่าบัตรเก่าชำรุด ปี 2547 ซึ่งขณะนั้นระบบพิมพ์ลายนิ้วมือด้วยระบบดิจิตอลได้มีการใช้งานแล้ว คือ มีการจัดพิมพ์ลายหัวแม่มือเอาไว้ด้วย ต่างจากก่อนหน้านั้น ที่จะมีเพียงการเก็บลายนิ้วมือเพียง 4 นิ้ว

เมื่อตรวจสอบต่อไป ความจริงก็เริ่มปรากฏ เมื่อพบลายนิ้วมือเดียวกันไปโผล่ที่ว่าการอำเภอบางกรวย จ.นนทบุรี เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2548 โดยแจ้งชื่อ น.ส.พเยา ปานหวาด มาทำเรื่องย้ายเข้าบ้านหลังหนึ่งในพื้นที่ ต.วัดชะลอ อ.บางกรวย เมื่อพบลายนิ้วมือต้องสงสัยว่าจะเป็นการสวมบัตร เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเร่งประสานงานขอหลักฐาน จากภาพถ่าย และลายนิ้วมือเพื่อมาตรวจสอบเปรียบเทียบกับลายนิ้วมือที่นางกันต์กนิษฐ์ ที่ทำไว้ที่เขตบางพลัด

โดยส่งให้ให้กองพิสูจน์หลักฐานตรวจสอบ ระหว่างรอผลตำรวจจึงนำภาพมาเทียบกัน กระนั้นเองฝ่ายสอบสวนทั้งทีมถึงกับฉงน! เมื่อภาพเดิมของนางกันต์กนิษฐ์ มีปานดำที่แก้มซ้าย แต่ในภาพใหม่ในนาม น.ส.พเยา ไม่มีปาน แต่จมูกกับริมฝีปากเหมือนกันอย่างกับแฝดฝา


นั่นแสดงว่า 'กันต์กนิษฐ์' ยังไม่เสียชีวิต

เมื่อหญิงที่เล่นบทแกล้งตายเพื่อหนีการฉ้อโกง ยังไม่ถูกจับมาดำเนินคดี ชุดสืบสวนจึงเริ่มสะกดรอยตามพฤติกรรมคนที่ใกล้ตัวเธอที่สุด ซึ่งก็คือ นายชาญชัย สามี กระทั่งพบว่าเธอผู้ต้องสงสัย อาศัยอยู่ด้วยกัน ในบ้านเช่าหลังหนึ่ง ในซอยศรีนคร ถ.นางลิ้นจี่ แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา เจ้าหน้าที่จึงวางแผนเข้าตะครุบตัวทั้งสองมาดำเนินคดี

...


และจากการตรวจสอบโดยละเอียด ยังพบอีกว่า เมื่อปี 2547 บริษัท ปานทรัพย์เอฟเวอร์กรีน นางกันต์กนิษฐ์ และนายชาญชัย ชิ้นศิริ ตกเป็นจำเลยในศาลล้มละลายกลาง ซึ่งถูกบังคับคดีให้ชำระหนี้เจ้าหนี้บริษัทต่างๆ ถึง 63 คดี รวมเป็นเงิน 8,241,692,091.73 บาท อีกด้วย

คดีนี้จึงปิดฉากมหากาพย์การแสดงที่เล่นกันมานานกว่า 4 ปี จากฝีมือการแฉเบื้องหลังการออกอุบายจัดฉากสวมศพถูกคลื่นยักษ์สึนามิซัดเสียชีวิต และการศัลยกรรมใบหน้าใหม่เพื่อหนีหนี้เกือบ 1 หมื่นล้านได้ด้วยฝีมือตำรวจ


ใครทำอะไรไว้ต้องได้รับกรรมนั้น!?!