“การก่อการร้าย” คำนี้อาจฟังดูเป็นเรื่องไกลตัวสำหรับคนไทย เพราะทุกคนมักคิดว่าเหตุการณ์นี้ต้องเกิดขึ้นในประเทศแถบตะวันออกกลาง แต่ในช่วงปีสองปีมานี้ บ้านเมืองของเราเริ่มมีเสียงระเบิดดังถี่ขึ้นทุกวัน ทำให้อดนึกย้อนไปในวันวาเลนไทน์เมื่อ 2 ปีก่อนไม่ได้ เหตุการณ์ที่เหมือนรอยแผลเป็น ทำลายบรรยากาศแห่งความสุขของวันแห่งความรักจนหมดสิ้น
กับเหตุชาวอิหร่าน บุกกรุง บึมลง 3 จุด
เรื่องราวสุดระทึกนี้ เกิดขึ้นในช่วงบ่ายของวันที่ 14 ก.พ. 55 เมื่อจู่ๆ เกิดเสียงตูมสนั่นหวั่นไหว ดังขึ้นบริเวณตึกแถวเลขที่ 66 ภายในซอยปรีดีพนมยงค์ 31 ถนนสุขุมวิท 71 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กทม. เวลาผ่านไปไม่นาน อีกหนึ่งตูมก็ตามมา คราวนี้เกิดขึ้นหน้าบ้านเลขที่ 144 และอีกชั่วอึดใจ ตูมสุดท้ายก็เกิดขึ้นหน้าโรงเรียนเกษมพิทยา ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในเวลาห่างกันไม่กี่นาที และจุดระเบิดอยู่ภายในซอยเดียวกันทั้งหมด หลังเสียงระเบิดครั้งล่าสุดจางหายไป ภาพที่ปรากฏตรงหน้าสร้างความตระหนกกับผู้คนละแวกนั้นอย่างยิ่ง
...
มีคนขาขาด นอนกุมบาดแผล ร้องโอดโอยอยู่อย่างเจ็บปวด !!
ความเป็นมาของเหตุการณ์นี้ เริ่มต้นขึ้นเมื่อ ตำรวจ สน.คลองตัน ได้รับแจ้งเกิดเหตุระเบิดในซอยดังกล่าว และเร่งเดินทางไปตรวจสอบ แต่ทว่าเมื่อรถของเจ้าหน้าที่ขับมาถึงหน้าโรงเรียนเกษมพิทยา ระหว่างซอยปรีดีพนมยงค์ 31 และ 33 ได้พบกับชายชาวตะวันออกกลาง ที่ท่าทางดูมีพิรุธ เดินสะพายเป้สีดำ 2 ใบ และกล้องวิดีโอ 1 ตัว ตามเสื้อผ้าและลำตัวเต็มไปด้วยเลือด จึงแสดงตัวเข้าตรวจสอบทันที เมื่อเห็นดังนั้น ชายคนดังกล่าวจึงล้วงมือไปหยิบระเบิดลูกเขื่องออกจากกระเป๋าเป้ มือง้างออกเตรียมขว้างโดยมีเป้าหมายอยู่ที่กลุ่มตำรวจนั่นเอง แต่แล้วระเบิดกลับลื่นหลุดจากมือและตกลงใกล้เจ้าตัว
เกิดเป็นเหตุการณ์สุดสยอง ที่ทุกคนคาดไม่ถึง
ทันทีที่ระเบิดกระทบกับพื้น แรงอัดมหาศาลทำให้ขาข้างหนึ่งของคนร้ายหลุดออกจากร่าง กระเด็นข้ามรั้วไปตกอยู่ในโรงเรียนเกษมพิทยา เศษชิ้นเนื้อและเลือดกระจายเปรอะเปื้อนเต็มถนน ตู้กระจกของร้านอาหารใกล้เคียงแตกเสียหาย ขณะที่ตำรวจเมื่อเห็นท่าทีล้วงกระเป๋าก็อาศัยจังหวะนั้นวิ่งไปหลบที่ท้ายรถ
รอดจากรัศมีระเบิดหวุดหวิด
จากนั้นตำรวจสั่งปิดกั้นถนนสุขุมวิท 71 เพื่อตรวจสอบหาต้นตอของเสียงระเบิด มุ่งไปตึกแถวจุดที่เสียงระเบิดดังขึ้นครั้งแรก และถึงกับตะลึงเมื่อเปิดบ้านไปพบกับระเบิดแสวงเครื่องชนิดขว้างสังหารแบบติดกระเดื่องอยู่ภายใน โดยคนร้ายใช้ดินระเบิดซีโฟร์ ปุ๋ยยูเรีย ฝักแค ผสมกับลูกเหล็ก ยัดใส่ในวิทยุทรานซิสเตอร์จำนวน 5 เครื่อง แต่ละเครื่องบรรจุดินระเบิดซีโฟร์น้ำหนัก 4 ปอนด์ มีรัศมีทำลายล้างประมาณ 200-300 เมตร จากการตรวจที่เกิดเหตุอย่างละเอียด สอบถามชาวบ้านใกล้เคียง และดูภาพจากกล้องวงจรปิด พบว่าขณะเกิดเหตุมีคนร้ายทั้งหมด 3 คน อยู่ในบ้านที่เช่าเอาไว้แรมเดือนเพื่อเป็นแหล่งกบดานเตรียมการก่อเหตุบางอย่าง
แต่ดันพลาดท่า ทำระเบิดตูมตามขึ้นเสียก่อน !!
...
เมื่อแผนแตกจากเสียงระเบิด ทั้งหมดแยกย้ายหนีกระเจิงไปคนละทิศ หนึ่งในนั้นที่ได้รับบาดเจ็บจากแรงระเบิดในบ้าน ตัดสินใจโบกแท็กซี่หลังเดินห่างที่เกิดเหตุประมาณ 200 เมตร คนขับเห็นท่าไม่ดีจึงไม่ยอมจอดรับ สร้างความแค้นให้คนร้าย จึงโยนระเบิดใส่รถในระยะประชิด เป็นที่มาของเสียงระเบิดครั้งที่ 2 และวิ่งหนีต่อ กระทั่งไปเจอกับรถเจ้าหน้าที่ที่นำกำลังมาระงับเหตุพอดี และเกิดการปาระเบิดใส่ แต่ระเบิดดันตกใส่ตัวเองจนขาขาดสยองดังกล่าว
พบเหยื่อรับเคราะห์จากแรงระเบิดหลายราย
หลังเสียงระเบิดสงบ นอกจากคนร้ายแล้ว ยังมีประชาชนถูกลูกหลงได้รับบาดเจ็บอีก 4 คน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือคนขับแท็กซี่เคราะห์ร้ายที่คนร้ายปาระเบิดใส่ สิ้นสุดความวุ่นวาย ตำรวจนำทั้งหมดส่งโรงพยาบาล และค้นพบเอกสารของตัวการขาขาด ระบุชื่อ นายฟาอิต โมราติ อายุ 28 ปี ถือสัญชาติอิหร่าน
...
ส่วนอีก 2 คน หลบหนีเงื้อมมือตำรวจไปได้
ปฏิบัติการตามล่าจึงเริ่มต้นขึ้นทันใด เจ้าหน้าที่เร่งเช็กประวัติคนร้ายจากหลักฐานต่างๆ ที่พบ จนทราบชื่ออีก 2 คนร้าย คือ นายคาซาอี โมฮัมหมัด อายุ 42 ปี และนายมาซูด เซดากัตซาเดห์ อายุ 31 ปี ตำรวจเชื่อว่าคนร้ายต้องพยายามหลบหนีออกนอกประเทศ จึงประสานกับ ตม.สนามบินสุวรรณภูมิ ให้ตรวจดูผู้ต้องสงสัย ไม่กี่ชั่วโมงถัดมาก็สกัดจับนายคาซาอีไว้ได้ และพบว่านายมาซูดขึ้นเครื่องบินหนีไปยังกรุงกัวลาลัมเปอร์แล้ว จากนั้นได้ประสานกับประเทศมาเลเซีย ก่อนจะจับกุมตัวได้ที่สนามบินกัวลาลัมเปอร์ วันต่อมาขณะที่พยายามขึ้นเครื่องบินไปยังกรุงเตหะราน ประเทศอิหร่าน ไม่นานเจ้าหน้าที่ก็พบข้อมูลของกลุ่มคนร้ายเพิ่มเติมอีก 2 ราย คือนางไลล่า โรฮานี่ อายุ 31 ปี ผู้มีชื่อเป็นคนเช่าบ้านหลังที่เกิดเหตุระเบิด ซึ่งเดินทางออกนอกประเทศไทยไปแล้วหลายวัน และนายนิคคาห์ฟาร์ด จาวัด อายุ 52 ปี ที่ออกจากบ้านไปราวๆ 1 ชั่วโมงเศษ ก่อนที่จะเกิดเหตุขึ้น
...
อึ้ง! พบเป็นแผนการลอบฆ่า จนท.ทูตยิว
สิ่งบ่งชี้หลายอย่างเชื่อได้ว่า เหตุระเบิดย่อมๆ กลางกรุงคราวนี้ น่าจะเกี่ยวพันกับการเมืองระหว่างประเทศว่าด้วยเรื่องความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านโดยตรง โดยเอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย ชี้ให้เห็นถึงความคล้ายคลึงของวัตถุระเบิดที่กลุ่มคนร้ายใช้ลอบสังหารนักการทูตอิสราเอล ที่กรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย และยังเหมือนกับระเบิดที่ใช้ติดตั้งไว้ใต้ท้องรถยนต์เจ้าหน้าที่สถานทูตอิสราเอล ในกรุงทบิลิซี ประเทศจอร์เจีย
ซึ่งทั้งสองเหตุการณ์เกิดขึ้นก่อนการระเบิดในไทย ไม่ถึง 24 ชั่วโมง !!
เป็นที่แน่ชัดว่ามือระเบิดที่ซอยปรีดีพนมยงค์ มีแผนจ้องเล่นงานเจ้าหน้าที่อิสราเอลในประเทศไทยอย่างแน่นอน ทางการอิสราเอลเชื่อว่าเป็นฝีมือชาวอิหร่านหัวรุนแรง ซึ่งอาละวาดก่อเหตุกับชาวยิวไปทั่วโลก และล่าสุดลามมาถึงเมืองไทย อย่างไรก็ตาม จากการประเมินรัศมีระเบิดเชื่อว่าเป็นการมุ่งโจมตีเฉพาะบุคคล ไม่ใช่ก่อวินาศกรรมใหญ่โต
แต่คนร้ายก็ต้องชดใช้กรรมที่ก่อไว้
สำหรับโทษทัณฑ์ในการก่อเหตุ ศาลสั่งพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต นายฟาอิต โมราติ พร้อมให้ชดใช้ค่าเสียหายให้กับบริษัททรู เป็นเงิน 6,691 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี เนื่องจากระเบิดทำตู้โทรศัพท์สาธารณะเสียหาย และปรับเงิน 100 บาท ฐานพกพาอาวุธไปในทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร ส่วน นายคาซาอี โมฮัมหมัด พิพากษาจำคุก 15 ปี ขณะเดียวกันให้ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้กับเจ้าของบ้านเช่า เป็นเงิน 2 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามคดีนี้ อัยการมีความเห็นสั่งฟ้องจำเลย 5 คน โดยมีผู้ต้องหา 2 คนกลับประเทศอิหร่านก่อนเกิดเหตุระเบิด คือ นางไลล่า โรฮานี่ และนายนิคคาห์ฟาร์ด จาวัด ส่วนนายมาซูด เซดากัตซาเดห์ ผู้ต้องหาที่ร่วมก่อเหตุถูกดำเนินคดีอยู่ในประเทศมาเลเซีย ซึ่งไทยได้ประสานงานให้ส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนแล้ว ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษาให้ส่งตัวมาดำเนินคดีในไทยแล้ว แต่จำเลยอยู่ระหว่างอุทธรณ์คดี
กับเหตุระเบิดในครั้งนั้น แม้ไม่ใช่ครั้งแรกที่กลุ่มก่อการร้ายเข้ามาในประเทศไทย แต่ก็เป็นอีกเหตุการณ์ที่ทำให้คนไทยตระหนักถึงความปลอดภัยในประเทศ และอันตรายรอบตัวที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะปัจจุบันที่เสียงระเบิดดังขึ้นรายวัน คงถึงเวลาแล้วที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์จะแสดงบทบาทนำความสงบกลับคืนสู่ประเทศ
ก่อนที่ความรุนแรงจะเปลี่ยนเป็นโศกนาฏกรรม..