ศพถึงวัดที่ขอนแก่นแล้ว ลูกสาวหลั่งน้ำตา แม่บอกให้วิ่งหนีจึงรอดชีวิตจากเหตุตึกถล่ม ด้านคนรอดชีวิตขอบวชหน้าไฟให้หัวหน้าและเพื่อน

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 3 เมษายน 2568 ที่ศาลาธรรมสังเวช วัดโพธิ์ธาตุ ต.ชุมแพ อ.ชุมแพ จ.ขอนแก่น ที่ตั้งศพนางสาวอรอุมา แก่นเมือง ผู้รับเหมาที่ทำงานเดินสายไฟฟ้าภายในอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) 30 ชั้น ที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวแล้วถล่มลงมา เป็นเหตุให้นางสาวอรอุมาเสียชีวิตในซากตึก ซึ่งทีมค้นหาได้พบศพเมื่อวันอังคารที่ 1 เมษายนที่ผ่านมา

โดย น.ส.อารยา แก่นเมือง หรือน้ำตาล อายุ 21 ปี ลูกสาวผู้ตาย พร้อมด้วยญาติพี่น้องต่างพากันจุดธูปเคารพศพผู้ตาย พร้อมกับเปิดเผยว่า ตนรับศพของแม่ได้เดินทางถึงวัดในอำเภอชุมแพ เมื่อเวลา 22.00 น. ที่ผ่านมา และจะตั้งสวดอภิธรรมศพ 1 คืน จากนั้นก็จะเผาศพแม่ในวันศุกร์ที่ 4 เมษายนที่จะถึงนี้

ศพถึงวัดแล้ว ลูกสาวหลั่งน้ำตา แม่บอกให้วิ่งหนีจึงรอดชีวิตจากตึกถล่ม

สำหรับแม่กับพ่อนั้น รับเหมางานระบบไฟฟ้าจากบริษัทแห่งหนึ่งจึงพากันทำงานที่อาคาร สตง. มาร่วม 2 เดือนแล้ว โดยมีทีมงานที่ทำงานด้วยกันรวมทั้งหมด 8 คน ในจำนวนดังกล่าวมีนายเจษฎา ส่อนชัย หรือฟาส อายุ 21 ปี ชาว อ.ชุมแพ จ.ขอนแก่น แฟนหนุ่มของตนรวมอยู่ด้วย

...

น้องน้ำตาล ลูกสาวของผู้ตาย เล่าต่อว่า ตั้งแต่ทำงานในจุดดังกล่าว ไม่เคยประสบปัญหาอะไร มีเพียงวันที่ 28 มีนาคม 2568 ขณะพ่อขับรถไปทำงานปรากฏว่ายางรถยนต์แตก แต่ก็ไม่มีใครคิดว่าเป็นลางบอกเหตุหรือลางร้าย ก็ยังเข้าทำงานตามปกติ โดยตนกับแม่ทำงานอยู่ที่ชั้น 27 ส่วนพ่อกับแฟนทำงานที่ชั้น 25

หลังจากพักรับประทานอาหารเที่ยง แม่ได้บอกให้ตนลงไปเอาสิ่งของ ตนจึงลงลิฟต์ไปที่ชั้นล่าง เมื่อถึงชั้นล่างได้ยินเสียงปูนระเบิด จึงโทรหาแม่ แม่ได้บอกให้วิ่งหนีออกจากตัวอาคาร กระทั่งตัวอาคารถล่มลงมา สายแม่ก็ตัดไป เมื่อตั้งสติได้จึงตะโกนหาแม่ หาพ่อ หาแฟน แต่ทุกอย่างก็เงียบกริบ จึงได้แต่รอ จนกระทั่งมีเจ้าหน้าที่กู้ภัยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาค้นหาและช่วยเหลือ

น้องน้ำตาล กล่าวอีกว่า การทำงานระบบไฟฟ้าของบริษัทดังกล่าวมีการทำประกันสังคมทุกคน เมื่อเสร็จงานศพของมารดา ตนจะเดินเรื่องรับการช่วยเหลือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ ตอนนี้ยังไม่คิดว่าจะไปทำงานที่ใดหรือไม่ เพราะห่วงตาและยายที่แก่ชราป่วยและพิการ ห่วงน้องชายอีก 2 คน และถ้าทุกอย่างเรียบร้อย ก็อาจจะทำงานที่บ้าน ไม่อยากเดินทางไกลไปทำงานที่อื่นอีก

ศพถึงวัดแล้ว ลูกสาวหลั่งน้ำตา แม่บอกให้วิ่งหนีจึงรอดชีวิตจากตึกถล่ม

ในเวลาต่อมา นายพีรพล โม้เวียง หรือเปา อายุ 30 ปี ชาว อ.สีชมพู จ.ขอนแก่น ผู้รอดชีวิตจากตึก สตง. ถล่มจากเหตุแผ่นดินไหว ก็เดินทางมาจุดธูปไหว้ศพของผู้ตาย พร้อมกับให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า ตนทำงานกับผู้รับเหมาระบบไฟฟ้า คือนายดำรงค์ ผ่องลุนหิต หรือหัว อายุ 40 ปี และนางสาวอรอุมา แก่นเมือง หรือปลา ภายในอาคาร สตง. 30 ชั้นที่ถล่มลงมา

นายเปา เล่าว่า เมื่อวันที่ 28 มีนาคม เกิดแผ่นดินไหวแล้วตึก สตง. ถล่มลงมานั้น หลังรับประทานอาหารเที่ยง นายหัวให้ตนลงไปเอากระติกน้ำแข็งที่รถในลานจอดรถชั้นล่าง จึงลงลิฟต์ไปพร้อมคนขับลิฟต์ เมื่อถึงชั้นล่างก็มีเสียงปูนระเบิด จึงรีบวิ่งออกจากตัวอาคาร จากนั้นตึกก็ถล่มลงมา จึงรีบตามหาน้องน้ำตาล หานายหัวและหาแม่ปลา หาน้องฟาส แต่พบเพียงน้องน้ำตาล ซึ่งทราบว่าลงมาจากชั้น 27 มาเอาอุปกรณ์การทำงาน ส่วนแม่ปลา นายหัว และน้องฟาส ยังไม่รู้ชะตากรรม

เมื่อรู้ว่าตัวเองปลอดภัยแต่ก็ห่วงแม่ปลากับสามีและน้องฟาส ซึ่งยังติดอยู่ในซากตึก ส่วนตัวเองนั้นหลังรอดชีวิตมาแล้ว ก็ยังไม่ได้ติดต่อใคร เพราะตนทิ้งโทรศัพท์มือถือไว้ที่ห้องพัก จนกระทั่งพบกับแม่ของน้องฟาสจึงได้ติดต่อกับพ่อแม่ ส่วนการรอดชีวิตนั้น ตนคิดว่าเป็นความโชคดี เพราะไม่มีเครื่องลางของขลังหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ติดตัว

นายเปา กล่าวอีกว่า โดยส่วนตัว ตั้งใจเอาไว้ว่า เมื่อตัวเองรอดชีวิต และหากนายหัว แม่ปลา และน้องฟาส เสียชีวิตทั้ง 3 คน ตนจะบวชหน้าไฟให้ทั้ง 3 คน จากนั้นก็จะบวชแก้บนตามที่แม่บนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ 7 วัน และเมื่อทุกอย่างเสร็จสมบูรณ์ ก็จะไปหางานทำเหมือนที่ผ่านมา

ศพถึงวัดแล้ว ลูกสาวหลั่งน้ำตา แม่บอกให้วิ่งหนีจึงรอดชีวิตจากตึกถล่ม

...

ในขณะที่นางกุลรัตน์ แก่นเมือง อายุ 61 ปี และนายบุญธรรม แก่นเมือง อายุ 68 ปี พ่อแม่ของนางสาวอรอุมา กล่าวว่า เมื่อหลานสาวนำร่างของมารดากลับมาที่บ้านเรียบร้อยก็รู้สึกโล่งใจไปบ้าง เพราะจะได้ประกอบพิธีทางศาสนาให้ลูก แต่สิ่งที่ยังห่วงก็คือเรื่องหนี้สินซึ่งอาจจะหลายแสนบาท ที่ลูกเขย ลูกสาว กู้มาสร้างบ้านให้พ่อแม่อยู่ ยังใช้หนี้ไม่หมด เพราะที่ผ่านมาทั้งคู่คือเสาหลักของครอบครัว เมื่อทั้งคู่เสียชีวิตทุกอย่างก็จบ ไม่มีทางทำอะไรได้อีก รวมทั้งห่วงเรื่องการศึกษาของลูกชายของผู้ตาย 2 คน ที่อยากให้มีการศึกษาในชั้นสูงสุดตามความตั้งใจของพ่อแม่ จึงอยากขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง.