เมื่อกล่าวถึง “ความยั่งยืน” หลายคนอาจตีความแตกต่างกันไป แต่ไม่ว่ามุมมองนั้นจะหลากหลายเพียงใด แก่นแท้ของแนวคิดนี้ล้วนมีจุดร่วมสำคัญเดียวกันนั่นคือ “การรักษาและฟื้นฟูทรัพยากรที่มีอยู่ในวันนี้” เพื่อส่งต่อสิ่งแวดล้อมที่สมบูรณ์และยั่งยืนให้แก่คนรุ่นถัดไป ท่ามกลางสถานการณ์ปัจจุบันที่เราต่างเห็นความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นฤดูกาลที่แปรปรวนหรือภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นและทวีความรุนแรงมากขึ้น เหตุการณ์เหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า วิกฤติด้านสิ่งแวดล้อมไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป และทุกภาคส่วนในสังคมจำเป็นต้องลุกขึ้นมาร่วมมือกัน ไม่ว่าจะเป็นองค์กรธุรกิจที่เร่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก นโยบายจากภาครัฐ หรือโครงการขับเคลื่อนจากกลุ่มชุมชนที่ตระหนักถึงความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงนี้ โดยหนึ่งในองค์กรที่ลงมือปฏิบัติอย่างต่อเนื่องและจริงจังคือ “เนสท์เล่ ประเทศไทย” ซึ่งมุ่งมั่นในการสร้างความยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรมมาตลอดหลายปี

เนสท์เล่เผยความคืบหน้าด้านความยั่งยืน สู่ Net Zero 2050 พร้อมสานต่อแคมเปญ “เล็กน้อยเปลี่ยนโลกได้”

สำหรับเนสท์เล่แล้ว “ความยั่งยืน” ไม่ใช่เพียงแค่ถ้อยคำที่เอ่ยถึงในวิสัยทัศน์ หากแต่เป็นหลักปฏิบัติที่ฝังรากลึกในทุกมิติของการดำเนินธุรกิจ ตลอดระยะเวลากว่า 130 ปีที่เนสท์เล่ดำรงอยู่ในประเทศไทย เนสท์เล่เชื่อมั่นว่าการส่งต่อสิ่งดีในวันนี้ คือการร่วมสร้างอนาคตที่มั่นคงให้กับคนรุ่นถัดไป หลักคิดเช่นนี้ถูกหล่อหลอมให้เป็นแก่นของกลยุทธ์ ขับเคลื่อนสิ่งดี ๆ เพื่อผู้บริโภค (Good for You) และ ขับเคลื่อนสิ่งดี ๆ เพื่อโลกของเรา (Good for the Planet) ที่มุ่งมั่นยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้บริโภค พร้อมดูแลโลกใบนี้ให้สมดุลและยั่งยืนไปพร้อมกัน โดยมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่อย่าง Net Zero 2050 ซึ่งเป็นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ พร้อมทั้งประกาศเดินหน้าแคมเปญ “Every Little Act Matters เล็กน้อยเปลี่ยนโลกได้” เป็นปีที่ 4 ด้วยเจตนารมณ์แน่วแน่ว่า ทุกการกระทำเล็ก ๆ ในวันนี้ ล้วนมีพลังสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับอนาคตของโลกใบนี้ได้ ดังที่ คุณวิคเตอร์ เซียห์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เนสท์เล่อินโดไชน่า ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า

“เราเชื่อว่าบทบาทของเราไม่ได้หยุดแค่การส่งมอบอาหารและเครื่องดื่มที่ดีต่อสุขภาพเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการฟื้นฟูระบบอาหารและสิ่งแวดล้อม พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรและชุมชนที่เกี่ยวข้อง”

“เนสท์เล่” กับความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนสิ่งดี ๆ เพื่อผู้บริโภค (Good for You)

ความสำเร็จของเนสท์เล่ในช่วงตลอดระยะหลายปีที่ผ่านมาคือการไม่หยุดยั้งที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีแก่ผู้บริโภค สะท้อนผ่านการให้คุณค่ากับการวิจัยและสร้างสรรค์สินค้าต่าง ๆ หลากหลายชนิดเพื่อให้ตอบโจทย์ชีวิตผู้คนที่หลากหลาย แต่ยังคงไว้ซึ่งความอร่อย และมีคุณค่าทางโภชนาการ โดยเนสท์เล่ ประเทศไทย ประสบความสำเร็จในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น โดยมีผลิตภัณฑ์ถึง 115 รายการ ที่ได้รับสัญลักษณ์ “ทางเลือกสุขภาพ” มากที่สุดในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มของไทย ซึ่งปี 2024 เพียงปีเดียว ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ถูกส่งมอบให้ผู้บริโภคไทยถึง 4,600 ล้านหน่วยบริโภค นอกจากนี้ยังมีอาหารและเครื่องดื่มเสริมแร่ธาตุและวิตามินที่ครอบคลุมทุกช่วงวัย

เนสท์เล่เผยความคืบหน้าด้านความยั่งยืน สู่ Net Zero 2050 พร้อมสานต่อแคมเปญ “เล็กน้อยเปลี่ยนโลกได้”

ไม่เพียงแต่พัฒนาผลิตภัณฑ์เท่านั้น เนสท์เล่ยังขยายบทบาทด้านการมอบความรู้และส่งเสริมสุขภาพผ่านโครงการส่งเสริมการกินอยู่อย่างสมดุล โดยมีการจัดโครงการ “เนสท์เล่ คาราวาน ครอบครัวแข็งแรง” และ “ภารกิจพิชิตสุขภาพดี” ที่ดำเนินมาแล้ว 16 ปี ถ่ายทอดความรู้ด้านโภชนาการให้คนไทยกว่า 5.48 ล้านคน นับเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนที่แข็งแกร่ง สะท้อนชัดความมุ่งมั่นตั้งใจของเนสท์เล่อย่างแท้จริง

การเดินหน้าด้านความยั่งยืน สู่เป้าหมาย Net Zero 2050 สอดคล้องต่อกลยุทธ์ขับเคลื่อนสิ่งดี ๆ เพื่อโลกของเรา (Good for the Planet)

ด้วยบทบาทของการเป็นบริษัทอาหารและเครื่องดื่มชั้นนำซึ่งอยู่เคียงข้างผู้คนในทุกมิติของการใช้ชีวิต เนสท์เล่จึงให้ความสำคัญกับแหล่งผลิตหรือต้นกำเนิดของวัตถุดิบที่ดีและมีคุณภาพ ซึ่งเป็นหัวใจของทุกผลิตภัณฑ์ที่บริษัทส่งต่อถึงมือผู้บริโภค เนสท์เล่จึงขับเคลื่อนกลยุทธ์ Good for the Planet เพื่อร่วมสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้แก่โลก ผ่านการยกระดับมาตรฐานและพัฒนากระบวนการในทุกขั้นตอน ตั้งแต่จุดเริ่มต้นในการจัดหาวัตถุดิบอย่างมีความรับผิดชอบไปจนถึงกระบวนการผลิต และการใช้บรรจุภัณฑ์ที่สามารถรีไซเคิลได้

ในปี 2021 เนสท์เล่ ประเทศไทย ได้ประกาศวิสัยทัศน์และแผนปฏิบัติการที่ชัดเจนเพื่อก้าวสู่เป้าหมาย Net Zero 2050 เส้นทางที่มุ่งมั่นลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เหลือศูนย์ภายในปี 2050 และตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา บริษัทได้ลงมือปฏิบัติอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ซึ่งภายในปีนี้เราจะได้เห็นความคืบหน้าที่เป็นรูปธรรมใน 4 ด้านสำคัญ ครอบคลุมทั้งการจัดหาวัตถุดิบอย่างยั่งยืน, ดูแลและจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน, ความยั่งยืนด้านบรรจุภัณฑ์ และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

เนสท์เล่เผยความคืบหน้าด้านความยั่งยืน สู่ Net Zero 2050 พร้อมสานต่อแคมเปญ “เล็กน้อยเปลี่ยนโลกได้”

จัดหาวัตถุดิบที่มีคุณภาพจากแหล่งผลิตที่รับผิดชอบ

เนสท์เล่ ประเทศไทยใช้วัตถุดิบหลัก ได้แก่ เมล็ดกาแฟและน้ำนมดิบ ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานการจัดหาอย่างรับผิดชอบ 100% โดย 20% ของเมล็ดกาแฟสดมาจากการเพาะปลูกด้วยหลักเกษตรเชิงฟื้นฟู (Regenerative Agriculture) และตั้งเป้าจะขยายการใช้น้ำนมดิบจากการเกษตรเชิงฟื้นฟูให้ครบ 20% ภายในปี 2025 ทั้งนี้ยังได้สนับสนุนเกษตรกรไทยอย่างครอบคลุมในหลายมิติ อาทิ การกระจายต้นกล้าพันธุ์ดีให้เกษตรกรมากกว่า 4.7 ล้านต้น รวมถึงการช่วยลดต้นทุนเลี้ยงโคนม เช่น สนับสนุนแหล่งหญ้าอาหารสัตว์ ขยายการทำลานปูนสำหรับตากมูลโคและส่งเสริมการเลี้ยงไส้เดือนเพื่อผลิตปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูงที่จะช่วยเสริมรายได้เกษตรกรให้สูงขึ้น

เนสท์เล่เผยความคืบหน้าด้านความยั่งยืน สู่ Net Zero 2050 พร้อมสานต่อแคมเปญ “เล็กน้อยเปลี่ยนโลกได้”
เนสท์เล่เผยความคืบหน้าด้านความยั่งยืน สู่ Net Zero 2050 พร้อมสานต่อแคมเปญ “เล็กน้อยเปลี่ยนโลกได้”

นอกจากนี้เนสท์เล่ยังทำงานกับเกษตรกรอย่างใกล้ชิด จัดการอบรมด้านการเกษตรเชิงฟื้นฟูแก่เกษตรกรแล้วกว่า 2,000 ราย มีการสนับสนุนการวิเคราะห์ดิน ส่งเสริมการเลี้ยงผึ้ง จัดหลักสูตรโรงเรียนธุรกิจการเกษตรเพื่อยกระดับทักษะด้านบริหารจัดการต้นทุนกำไรและการทำธุรกิจ รวมไปถึงการรับซื้อเมล็ดกาแฟจากเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง

ในส่วนของฟาร์มโคนม เนสท์เล่ ได้นำหลักการเกษตรเชิงฟื้นฟูมาปรับใช้จนสามารถลดคาร์บอนจากการทำฟาร์มโคนมลงได้มากกว่า 5,000 ตันในปี 2023 เมื่อเทียบกับปี 2018 นอกจากนี้ ด้วยการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนยังทำให้สามารถเก็บเกี่ยวน้ำนมดิบโดยเฉลี่ยเพิ่มมากขึ้นเป็น 13.5 กก. ต่อตัวต่อวัน ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยทั่วประเทศ อีกทั้งยังมีคุณค่าทางโภชนาการที่ดีกว่าอีกด้วย ขณะเดียวกันยังได้มีการดำเนินงานถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจด้านเกษตรฟื้นฟูแก่เกษตรกรกว่า 160 ฟาร์ม และยังมีการลงนามบันทึกความเข้าใจในการพัฒนาฟาร์มโคนมยั่งยืนกับ สหกรณ์โคนม 3 แห่งในจังหวัดนครราชสีมาอีกด้วย

เนสท์เล่เผยความคืบหน้าด้านความยั่งยืน สู่ Net Zero 2050 พร้อมสานต่อแคมเปญ “เล็กน้อยเปลี่ยนโลกได้”
เนสท์เล่เผยความคืบหน้าด้านความยั่งยืน สู่ Net Zero 2050 พร้อมสานต่อแคมเปญ “เล็กน้อยเปลี่ยนโลกได้”

พิทักษ์สายน้ำ เพื่อชีวิตและอนาคตที่ยั่งยืน

เนสท์เล่เป็นบริษัทแรกของประเทศไทยที่ดำเนินการด้านฟื้นฟูทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนครบวงจร ผ่าน 3 แนวทางหลัก คือ เรียนรู้ ปกป้อง และฟื้นฟู ส่งผลให้โรงงานน้ำดื่มของเนสท์เล่ทั้งในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและสุราษฎร์ธานีจะสามารถชดเชยน้ำคืนสู่ชุมชนและธรรมชาติ 100% คิดเป็นปริมาณน้ำมากกว่า 1 ล้านลูกบาศก์เมตร ภายในปี 2025 ผ่านโครงการ “เนสท์เล่ น้ำรักษ์น้ำ หรือ Nestlé Waters Cares for Water ” อีกทั้งยังได้รับมาตรฐานการจัดการน้ำอย่างยั่งยืนจาก Alliance for Water Stewardship (AWS) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6

ในอนาคต เนสท์เล่ยังเตรียมเดินหน้าฟื้นฟูระบบนิเวศบริเวณคลองขนมจีน (จังหวัดพระนครศรีอยุธยา) และหนองทุ่งทอง (จังหวัดสุราษฎร์ธานี) พร้อมได้กระตุ้นให้ชุมชนโดยรอบมีส่วนร่วมในการพิทักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรน้ำให้ยั่งยืน โดยปัจจุบันได้มีการเดินหน้าโครงการต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก อาทิ โครงการเยาวชนพิทักษ์สายน้ำ, โครงการตลาดนัดขยะชุมชน, โครงการเนสท์เล่รักษ์ชุมชน ผักตบชวา สู่รายได้, โครงการเนสท์เล่รักษ์น้ำ คืนปลาสู่คลองขนมจีน เป็นต้น

เนสท์เล่เผยความคืบหน้าด้านความยั่งยืน สู่ Net Zero 2050 พร้อมสานต่อแคมเปญ “เล็กน้อยเปลี่ยนโลกได้”

สร้างสรรค์ความยั่งยืนด้านบรรจุภัณฑ์

เนสท์เล่ ประเทศไทย ดำเนินงานด้านความยั่งยืนของบรรจุภัณฑ์มาอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นการขับเคลื่อนใน 3 ด้านหลัก ได้แก่

1. การลดการใช้พลาสติกผลิตใหม่ (Virgin Plastic Reduction)

เนสท์เล่ตั้งเป้าลดการใช้พลาสติกใหม่ลงให้ได้ 1 ใน 3 ผ่านการเปลี่ยนมาใช้วัสดุรีไซเคิล เช่น ขวดน้ำดื่ม มิเนเร่ และ เนสท์เล่ เพียวไลฟ์ ที่ผลิตจากพลาสติกรีไซเคิล (rPET) รวมถึงการใช้ฟิล์มหุ้มบรรจุภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของพลาสติกรีไซเคิล (rPE) ซึ่งช่วยลดปริมาณการใช้พลาสติกใหม่ในระบบการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2. การออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้รีไซเคิลได้ง่าย (Designed for Recycling)

เนสท์เล่พัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่เอื้อต่อกระบวนการรีไซเคิล อาทิ ซองบรรจุภัณฑ์แบบ Mono Structure ซึ่งผลิตจากพลาสติกประเภทเดียวกัน ลดความซับซ้อนในการคัดแยกและรีไซเคิล รวมถึงการใช้กระป๋องอะลูมิเนียมสำหรับเนสกาแฟกระป๋องพร้อมดื่มที่สามารถรีไซเคิลได้ 100%

3. การส่งเสริมระบบการจัดการขยะเพื่อการรีไซเคิล (System for Recycling)

ดำเนินการผ่านหลากหลายโครงการที่สร้างการมีส่วนร่วมของผู้บริโภคและชุมชน เช่น แคมเปญ "BOTTLE MADE FROM BOTTLES" จาก มิเนเร่ ซึ่งเน้นการรีไซเคิลขวดน้ำดื่มกลับมาใช้ใหม่, โครงการ "Careton กล่องนมรักษ์โลก" จาก ไมโล สนับสนุนการนำกล่องเครื่องดื่มไปรีไซเคิล, การเข้าร่วม PRO-Thailand Network เพื่อร่วมขับเคลื่อนระบบการจัดการบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืนภายใต้หลักการ Extended Producer Responsibility (EPR), ความร่วมมือกับ เวสท์บาย เดลิเวอรี่ ในการส่งเสริมให้คนในชุมชนนำขยะมาแลกเปลี่ยนเป็นเงิน สร้างแรงจูงใจให้เกิดพฤติกรรมการคัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง

นอกจากนี้เนสท์เล่ยังคงมุ่งมั่นสานต่อการดำเนินงานทั้ง 3 ด้านนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนในทุกมิติของระบบบรรจุภัณฑ์และสิ่งแวดล้อม

เนสท์เล่เผยความคืบหน้าด้านความยั่งยืน สู่ Net Zero 2050 พร้อมสานต่อแคมเปญ “เล็กน้อยเปลี่ยนโลกได้”
เนสท์เล่เผยความคืบหน้าด้านความยั่งยืน สู่ Net Zero 2050 พร้อมสานต่อแคมเปญ “เล็กน้อยเปลี่ยนโลกได้”

ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกระบวนการผลิต

ภายใต้แผนงาน Net Zero เนสท์เล่ ประเทศไทย ได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอย่างเป็นรูปธรรมโดยสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้แล้วกว่า 20% ในปี 2025 เมื่อเทียบกับปีฐาน 2018 ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของบริษัทในการมีส่วนร่วมลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง

หนึ่งในความสำเร็จที่โดดเด่นคือการที่โรงงานผลิตทั้ง 8 แห่งของเนสท์เล่ในประเทศไทย รวมถึงศูนย์กระจายสินค้าได้เปลี่ยนมาใช้พลังงานไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน 100% เป็นที่เรียบร้อย โดยได้มาจากพลังงานสะอาด 2 ส่วนคือไฟฟ้าจากโซล่าเซลล์ที่ติดตั้งในโรงงาน และการได้ใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Certificate: REC) ซึ่งช่วยลดการพึ่งพาพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงกระบวนการผลิตในทุกขั้นตอน เพื่อลดการใช้ทรัพยากรและเพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงานตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่า

เนสท์เล่เผยความคืบหน้าด้านความยั่งยืน สู่ Net Zero 2050 พร้อมสานต่อแคมเปญ “เล็กน้อยเปลี่ยนโลกได้”

สำหรับก้าวต่อไป เนสท์เล่ ประเทศไทย มีเป้าหมายที่ท้าทายยิ่งขึ้น โดยจะยังคงเดินหน้าลงทุนในเทคโนโลยีการผลิตใหม่ ๆ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นำร่องการใช้รถขนส่งพลังงานไฟฟ้า 100% และเพิ่มประสิทธิภาพในระบบโลจิสติกส์เพื่อช่วยลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ พร้อมเดินหน้าสู่เป้าหมายในการลดการปล่อยคาร์บอนลง 50% ภายในปี 2030

“Every Little Act Matters เล็กน้อยเปลี่ยนโลกได้” แคมเปญที่เชิญชวนให้คนไทยร่วมเปลี่ยนโลกเพียงเริ่มจากสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ

เป็นเรื่องยากจะปฏิเสธว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผู้คนอย่างแยกไม่ออก เนสท์เล่เผยว่าจากผลสำรวจ Kantar’s Sustainability Sector Index 2023 พบว่า 76% ของคนไทย บอกว่าพวกเขา “ใส่ใจ” ปัญหาสิ่งแวดล้อมและสังคมอย่างมาก และ 91% อยากใช้ชีวิตให้ยั่งยืนขึ้น แต่ในความเป็นจริง มีเพียง 42% เท่านั้นที่สามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในชีวิตประจำวันได้อย่างจริงจัง เพราะยังมีข้อจำกัดเรื่องเวลา งบประมาณ หรือความสะดวกสบายที่ทำให้ผู้คนต่าง “ลังเล” ว่าจะลงมือทำดีไหม รวมไปถึงยังมีคำถามที่สำคัญที่สุดก็คือ… แค่เราคนเดียว จะช่วยอะไรได้จริงหรือ?

เนสท์เล่ ประเทศไทย เชื่อว่าทุกคน “ช่วยได้” และการเปลี่ยนแปลงไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่เสมอไป วันนี้ เนสท์เล่เดินหน้าสานต่อแคมเปญ “Every Little Act Matters เล็กน้อยเปลี่ยนโลกได้” เป็นปีที่ 4 เพื่อชวนทุกคนกลับมาทบทวนว่าการเริ่มต้นจากสิ่งเล็ก ๆ ง่าย ๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น การเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แยกขยะให้ถูกวิธี หรือแม้แต่พกกระบอกน้ำส่วนตัว ก็เป็น “จุดเริ่มต้น” ที่สำคัญของการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน

เนสท์เล่เผยความคืบหน้าด้านความยั่งยืน สู่ Net Zero 2050 พร้อมสานต่อแคมเปญ “เล็กน้อยเปลี่ยนโลกได้”

“เรารับฟังอินไซต์จากผู้บริโภคที่หลายคนรู้สึกว่าสิ่งเล็ก ๆ ที่เราทำมันจะเปลี่ยนอะไรได้จริงเหรอ? แต่เราขอเป็นกระบอกเสียงที่บอกว่า ‘ใช่ค่ะ มันเปลี่ยนได้’ และเมื่อคนไทยหลายล้านคนเลือกที่จะ ‘ลงมือทำ’ แม้จะเล็กน้อย โลกใบนี้จะค่อย ๆ ดีขึ้นอย่างแน่นอน”

นางสาวเจนิกา คอนเด ครูซ หัวหน้าฝ่ายนวัตกรรมองค์กรและความยั่งยืน บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด ได้เผยถึงวิสัยทัศน์อย่างมุ่งมั่น โดยในปีนี้เนสท์เล่ตั้งเป้าจะเข้าถึงคนไทยกว่า 20 ล้านคนทั่วประเทศ ผ่านแคมเปญที่สร้างแรงบันดาลใจ ชวนให้ทุกคนรู้สึกว่าการมีส่วนร่วมในเรื่องสิ่งแวดล้อมไม่ใช่เรื่องยาก ไม่ต้องเปลี่ยนชีวิตทั้งหมด แค่เริ่มจากสิ่งง่าย ๆ ที่เราทำได้ในทุกวัน และไม่ต้อง “สมบูรณ์แบบ” แต่ถ้าทุกคนช่วยกันทีละนิด ผลลัพธ์จะยิ่งใหญ่กว่าที่คิด

เนสท์เล่เผยความคืบหน้าด้านความยั่งยืน สู่ Net Zero 2050 พร้อมสานต่อแคมเปญ “เล็กน้อยเปลี่ยนโลกได้”

จากเรื่องราวทั้งหมดนี้ สะท้อนอย่างชัดเจนถึงความตั้งใจจริงของเนสท์เล่ในการขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืน ทั้งในแง่ของการดูแลโลกและการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คน ด้วยการตั้งเป้าหมายที่ท้าทาย เช่น การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ภายในปี 2050 และการนำหลักปฏิบัติด้านความยั่งยืนมาผสานกับกลยุทธ์ทางธุรกิจผ่านโครงการต่าง ๆ ที่ส่งผลดีทั้งต่อผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ เนสท์เล่ยังมุ่งมั่นสนับสนุนและส่งเสริมการเริ่มต้นสร้างความเปลี่ยนแปลงด้วยการกระทำเล็ก ๆ เพื่อผลักดันให้เกิดอนาคตที่ดีกว่า ซึ่งการร่วมมือของทุกภาคส่วนนี้จะกลายเป็นแรงพลังอันสำคัญนำพาพวกเราทุกคนประสบความสำเร็จบนเส้นทางแห่งความยั่งยืนนี้ไปด้วยกัน พร้อมเปลี่ยนโลกใบนี้ให้กลายเป็นบ้านที่เราภาคภูมิใจอย่างแท้จริงอีกครั้ง

ติดตามเรื่องราวดี ๆ จากเนสท์เล่เพิ่มเติมได้ที่ https://www.nestle.co.th/th และ https://www.facebook.com/NestleThailand