ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา “น้ำกก เปลี่ยนสี”...สีของแม่น้ำกกช่วงผ่านเมืองเชียงรายสีเดียวกับแม่น้ำสายในหลายปีที่ผ่านมาคือขุ่นข้นจนน่ากังวลใจ เชื่อว่าน่าจะมีสาเหตุจากการเปิดหน้าดิน ทำ “เหมืองทอง” บริเวณลำน้ำกกตอนบนในรัฐฉาน

ประเด็นสำคัญมีว่า...ทุกๆปีในฤดูแล้ง “น้ำกกใสแจ๋ว” เหมาะกับการลงเล่นท่ามกลางอากาศร้อนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ แต่ปีนี้กลับกลายเป็นสีขุ่นข้น...ยังไม่มีคำอธิบาย? เรื่องคุณภาพน้ำจากหน่วยงานราชการ รวมทั้งผู้บริหารระดับต่างๆ เมืองเชียงราย

วันที่ 20 มีนาคม 2568 นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่น้ำในแม่น้ำกกที่ไหลผ่าน อ.เมืองเชียงราย มีสีขุ่นข้นแตกต่างจากฤดูแล้งในทุกๆปีว่ายังไม่ทราบเรื่อง แต่จะสั่งการให้ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมจังหวัด (ทสจ.) ไปเก็บตัวอย่างน้ำมาตรวจสอบ

คนขับเรือรับจ้างในแม่น้ำกก อ.เมือง จ.เชียงราย รายหนึ่ง บอกว่า น้ำกกขุ่นข้นมาตั้งแต่เดือนกันยายน 2567 ซึ่งเกิดภัยพิบัติใหญ่เป็นต้นมาจนถึงขณะนี้ยังไม่มีช่วงใสเลย ทั้งๆที่ตามปกติเดือนมีนาคม-เมษายน เป็นช่วงเวลาที่น้ำกกมีความใสและน่าลงเล่นน้ำ สอดรับกับช่วงเทศกาลสงกรานต์

อย่างไรก็ตาม เท่าที่ได้สอบถามไปยังเพื่อนๆคนขับเรือที่อยู่ ต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงราย ก็ได้รับคำตอบว่า “น้ำกกขุ่น” มาจากเมืองสาดในรัฐฉาน เพราะมีการขุดเหมืองทองที่นั่น ทำให้รู้สึกกังวลว่าในปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวมาเล่นน้ำหรือไม่

“ถ้าทางพม่าเห็นใจก็ควรหยุดทำเหมืองในช่วงเทศกาลสงกรานต์ให้เราก่อน เพื่อให้น้ำใสตอนนี้ไม่มีใครอยากลงเล่นน้ำ เขาไม่มั่นใจ น้ำกกขุ่นข้นมาก เขาไม่รู้ว่าลงไปแล้วจะเจอสารอะไรบ้าง

...จริงๆแล้วหน่วยงานราชการควรลงพื้นที่สำรวจตรวจสอบและประกาศให้ประชาชนได้รับรู้ว่ายังเล่นน้ำได้อยู่หรือไม่ หรือควรมีข้อระมัดระวังอย่างไร จริงๆแล้วน้ำกกขุ่นข้นมาตั้งแต่เกิดน้ำท่วมใหญ่ แต่นี่ผ่านมา 6 เดือนแล้ว เขาน่าจะผิดสังเกตกันบ้าง เพื่อจะได้เข้ามาแก้ปัญหา” คนขับเรือรายนี้กล่าวทิ้งท้าย

...

"น้ำกก" เปลี่ยนสีขุ่นข้น เหตุ! เหมืองทองรัฐฉาน

“สำนักข่าวชายขอบ” รายงานว่า จากการใช้กูเกิลเอิร์ทสำรวจพื้นที่ริมแม่น้ำกกในรัฐฉานประเทศพม่า พบว่าตลอดลำน้ำกกในเขตเมืองสาด ซึ่งอยู่ห่างจากชายแดนไทยแค่เพียงราว 30 กิโลเมตร มีการเปิดหน้าดินขนาดใหญ่กระจัดกระจายตลอดลุ่มน้ำกกและลุ่มน้ำสาขา

ชาวบ้านในพื้นที่ “เมืองสาด” ซึ่งมีญาติพี่น้องฝั่งไทยเล่าว่า เป็นการทำเหมืองทองของกลุ่มคนจีนที่ได้รับสัมปทานจากกองกำลังว้า UWSA (United Wa State Army) ที่เข้ามายึดครองพื้นที่แทนกองกำลังไทใหญ่เมื่อกว่า 20 ปีก่อน โดยพื้นที่เหล่านี้มีชายฉกรรจ์ถือปืนคุมเข้ม

...ไม่ให้ชาวบ้านท้องถิ่นเข้าไปใกล้บริเวณที่ทำเหมืองนี้และห้ามถ่ายภาพเด็ดขาด

น.ส.สมพร เพ็งค่ำ นักวิจัยและผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาระบบประเมินผลกระทบทางสุขภาพโดยชุมชน บอกว่า สถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงคือกรณีที่ดินโคลนไหลมาท่วมพื้นที่ อ.เมืองเชียงราย และ อ.แม่สาย เพราะหากดินโคลนเหล่านั้นไหลมาจากการทำเหมืองทอง

...ก็จะทำให้ “ชุมชน” และ “ระบบนิเวศ” ตกอยู่ในสภาพที่เสี่ยงจากการ “ปนเปื้อนสารพิษ” โดยการทำเหมืองทองแบบเปิดหน้าดินและนำมากองก่อนเอาเข้าโรงแต่งแร่ ถ้าเป็นดินส่วนนี้ที่ไหลมากับน้ำท่วมใหญ่ ทำให้เสี่ยงต่อสารหนูที่เป็นองค์ประกอบอยู่ในดิน ทำให้แพร่กระจาย

กรณีไม่ปกติที่เกิดขึ้นนี้...จึงควรมีการต้องตรวจพิสูจน์อย่างถูกต้อง

สมพร ย้ำว่า หากมีการเอาแร่ทองคำเข้าไปในโรงแต่งแร่ การหลอมทองที่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่มักใช้สารไซยาไนด์ ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังไม่ให้สารนี้หลุดรอดออกมาสู่ระบบนิเวศ ซึ่งหากหลุดรอดแต่ไม่เข้มข้นก็ยังจัดการได้ ส่วนใหญ่เหมืองขนาดกลางและเล็กมักใช้ปรอทเป็นตัวหลอมทอง

หวั่นว่า...หากหลุดเข้าสู่ระบบนิเวศและสู่ห่วงโซ่อาหารและอยู่ในตัวปลา หากไม่เข้าใจเรื่องนี้แล้วไปตรวจก็จะใช้วิธีตรวจที่ผิดและไม่ได้ความจริงออกมา

หากต้องการตรวจโลหะหนักต้องตรวจตะกอนดินว่ามีสารหนูหรือไม่ หากเกี่ยวข้องกับสารปรอท ก็ควรต้องเอาปลามาตรวจและควรต้องเป็นปลานักล่า ดังนั้นหากไม่มีความเชี่ยวชาญในการตรวจอาจจะไม่เจออะไร

“ควรตรวจตะกอนดินหาสารหนูและหาปรอทในปลาซึ่งเป็นปลานักล่า ต้องให้ผู้เชี่ยวชาญเช่นคนหาปลามาร่วมด้วยเพราะเขารู้ว่าควรตรวจปลาชนิดไหนบ้างที่เป็นปลานักล่า ถ้าเราวางตัวชี้วัดผิด ใช้วิธีผิด แปลผลผิด การอธิบายต่อประชาชนก็จะผิดและเราควรให้ชาวบ้านรู้ข้อเท็จจริงตั้งแต่ต้น”

ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพฝากทิ้งท้ายว่า เมื่อชาวบ้านรู้ข้อเท็จจริงเขาจะได้รับมือกับมันได้ แต่เบื้องต้นเราต้องรู้ให้ได้ก่อนว่าเป็นเหมืองทองแบบไหน

ภาสกร จำลองราช www.transbordernews.in.th เสริมว่า สภาพต้นแม่น้ำกกแถวเมืองสาดในรัฐฉาน ประเทศพม่ามีการเปิดหน้าดินในวงกว้างเพื่อทำเหมืองทองเป็นคำตอบว่าทำไมวันนี้น้ำกกจึงสีขุ่นข้น

ทั้งยังช่วยอธิบายถึงภัยพิบัติเมื่อเดือนกันยายน 67 โคลนมหาศาลที่มากับน้ำถล่มเชียงรายมาจากไหน น่ากังวลใจว่าไม่กี่เดือนก็จะเข้าหน้าฝนแล้วเราจะรับมือกันอย่างไร...ผลกระทบข้ามแดนได้เกิดขึ้นแล้ว ที่น่ากังวลใจมากกว่าคือ “รัฐบาลไทย” ยังไม่รับรู้ข้อมูลเหล่านี้เลย?

...

“ฟ้าเต็มไปด้วยฝุ่น...น้ำกกขุ่นข้นด้วยตะกอนเหมือง” เป็น “วาระ” สำคัญที่ท้าทาย “คนเชียงราย” ที่ต้องช่วยกันกำหนดแผนยุทธศาสตร์ในการแก้ไขปัญหา เพราะลำพังแค่ระบบราชการคงไปไหนไม่ได้ไกล...เห็นสภาพเมืองเชียงรายแล้วน่าห่วงใย จะอยู่กันอย่างไรดี.

คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม