สังคมไทยยังคงตั้งข้อสงสัย “ปมการเสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำของอดีตผู้กำกับโจ้” ที่ใช้ผ้าขนหนูผูกคอตายสภาพนั่งในห้องขังหมายเลข 50 ตึกนอนแดน 5 เรือนจำกลางคลองเปรมเมื่อคืนวันที่ 7 มี.ค.2568
โดยเฉพาะ “ญาติ” มีข้อสงสัยการเสียชีวิตหลายประเด็นจาก “อดีตผู้กำกับโจ้” เคยบอกผ่านกรงขังถูกผู้คุมกลั่นแกล้งไม่ว่าจะยึดเอกสารทางคดี ยึดพัดลมที่จำเป็นต่อการบรรเทาโรคหัวใจไม่ให้กำเริบ ยึดแว่นกันแดดจากอุบัติเหตุดวงตาซ้ายรับแสงแดดโดยตรงไม่ได้ และถูกใช้ความรุนแรงจนเกิดรอยช้ำขนาดใหญ่บนร่างกาย
แถมถูกตั้งข้อหามีพฤติกรรมกระด้างกระเดื่องเป็นเหตุให้ “อดีตผู้กำกับโจ้” ถูกย้ายไปยังแดน 5 และถูกขังซอยส่งผลต่อสภาพจิตใจ “เกิดอาการโรควิตกกังวลทั่วไป” มีความเครียดรุนแรงนำมาสู่การฆ่าตัวตายหรือไม่

ทำให้ญาติร้องขอความเป็นธรรมกับ “ดีเอสไอ” เพื่อตรวจสอบการกระทำนั้นเข้าข่าย พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมาน และการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2564 หรือไม่ รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ พูตระกูล รองอธิการบดี และประธานกรรมการคณะอาชญาวิทยา และการบริหารงานยุติธรรม ม.รังสิต มองว่า
...
ตามผลชันสูตรร่างอดีตผู้กำกับโจ้จากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ระบุการเสียชีวิตเกิดจาก “การขาดอากาศหายใจ” ไม่พบรอยช้ำบริเวณเนื้อเยื่อใต้ลำคอ ไม่พบการช้ำกล้ามเนื้อลำคอ และไม่พบการบาดเจ็บของกระดูกกล่องเสียงจึงน่าเชื่อได้ว่า “เป็นการฆ่าตัวตาย” แต่คงต้องรอผลตรวจสอบซ้ำอย่างละเอียดอีกครั้ง
ความจริงแล้วสาเหตุ “การฆ่าตัวตาย” ตามหลักอาชญาวิทยามักจะแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มแรก...“ผู้ถูกบีบคั้นทางจิตใจ” ทำให้รู้สึกสิ้นหวังมองไม่เห็นทางออกนำไปสู่ “การตัดสินใจใช้ความรุนแรง” แต่ว่ากลุ่มนี้ก็จะมีการส่งสัญญาณพูดเปรยๆ กับคนใกล้ชิดลักษณะไม่อยากมีชีวิตอยู่พอให้เห็นข้อสังเกตอยู่บ้าง
ส่วนกลุ่มที่สอง...“เกิดจากอารมณ์ชั่ววูบ” ส่วนใหญ่มักมาจากการสะสมอารมณ์ความเครียด ความกดดัน หรือความรู้สึกหมดหวังก็สามารถเป็นปัจจัยให้รู้สึกท้อแท้ถึงขั้นตัดสินใจฆ่าตัวตายฉับพลันได้เช่นกัน เพียงแต่กรณีอดีตผู้กำกับโจ้มีข้อสังเกตเข้ามาอยู่ในเรือนจำกว่า 3 ปี 6 เดือน เชื่อว่าน่าจะปรับตัวในสภาพความเป็นอยู่ได้แล้ว
ไม่เท่านั้นเพื่อนเข้าไปเยี่ยมยังพูดถึง “อนาคตออกไปจะทำอะไร ทำธุรกิจอะไรดี” นั่งนับวันที่จะได้ออกแถมพูดว่า “อาทิตย์หน้าเจอกันเขาจะสู้” ถ้าฆ่าตัวตายอาจมีเรื่องกดดันบีบคั้นรุนแรงจนเป็นอารมณ์ชั่ววูบหรือไม่
เพราะในต่างประเทศมีงานวิจัย “ผู้ต้องขังอยู่ในสภาพไม่เจอแสงแดด อากาศอึมครึม” มีผลต่อสภาพจิตใจนำไปสู่โรคซึมเศร้าได้เหมือนกัน แต่อย่างไรก็ดีการชันสูตรพลิกศพ การตรวจที่เกิดเหตุ การตรวจทางนิติวิทยาศาสตร์ และพยานบุคคลจะบอกได้ว่าเป็นการฆ่าตัวตาย หรือฆาตกรรม?
แต่ที่จริง “อดีตผู้กำกับโจ้ตายผิดธรรมชาติ และตายระหว่างถูกควบคุมของเจ้าพนักงาน” ตามกฎหมายกำหนดให้ตำรวจต้องตรวจหาวัตถุพยาน หรือพยานทางกายภาพ “สรุปสำนวนการสอบสวนสาเหตุ” แล้วระหว่างสืบสวนก็ต้องแจ้งแพทย์ผู้มีหน้าที่ตามกฎหมายมาทำการชันสูตร และมีอัยการ ฝ่ายปกครองมาร่วมด้วย
หากหาสาเหตุการตายไม่ได้ก็ส่งศพผ่าชันสูตรโดยละเอียด “กรมราชทัณฑ์” ก็ต้องตั้ง คกก.สอบสวนข้อเท็จจริงพิสูจน์ความบริสุทธิ์ “ผู้ควบคุมเกี่ยวข้องกับการตายหรือไม่” โดยผู้ถูกกล่าวอ้างควรยินยอมให้องค์กรภายนอก “ตรวจโทรศัพท์” ทั้งตรวจบ้านพักหาสิ่งเชื่อมโยงการใช้อำนาจบังคับจิตใจจนนำไปสู่การฆ่าตัวตายหรือไม่
ส่วนกรณี “ญาติติดใจสาเหตุการตาย” เพราะก่อนนี้อดีตผู้กำกับโจ้เคยพูดผ่านญาติถูกทำร้ายร่างกายระหว่างคุมขังในเรือนจำเกิดรอยช้ำ “มีผลใบรับรองแพทย์” จนมอบอำนาจให้ทนายความเข้าแจ้งความ สน.ประชาชื่น ทั้งถูกกลั่นแกล้ง ถูกยึดพัดลม แว่นกันแดด และถูกขังเดี่ยวโดยไม่สมัครใจส่งผลต่อการบีบคั้นสภาพจิตใจ
“ญาติมีสิทธิเรียกร้องขอความเป็นธรรมได้ เพียงแต่ต้องเป็นตามพยานหลักฐานที่ตรวจสอบได้ไม่ยากว่าเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.ทรมานและอุ้มหายฯหรือไม่ ถ้าหากดู พ.ร.บ.ฉบับนี้การทรมานหมายรวมถึงร่างกาย และสภาพจิตใจด้วย แต่ต้องพิสูจน์เจตนาของผู้กระทำตามพยานหลักฐานมาประกอบร่วม”
ถ้าย้อนดูความผิด “อดีตผู้กำกับโจ้” เชื่อว่าเรียนจบมาเป็นข้าราชการตำรวจถูกปลูกฝังมุ่งเน้นอุดมคติ และคุณธรรมการทำหน้าที่ของตำรวจอย่างจริงจัง ทั้งการสอนทักษะทางวิชาชีพ และการพัฒนาความคิดเชิงจริยธรรมให้ทำหน้าที่รักษากฎหมาย และความสงบเรียบร้อยของสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพและยุติธรรมร้อยเปอร์เซ็นต์
เพียงแต่เรียนจบมาเจอ ระบบพิกลพิการ บวกกับเส้นทางการเติบโตแต่ละคนไม่เหมือนกัน “บางคนอาจเจอเจ้านายมีคุณธรรม” แม้ระบบไม่ดีแต่ก็จะหล่อหลอมให้เจริญก้าวหน้าอย่างมีความเป็นธรรมได้แต่ในทางกลับกันหากเจอกับ “เจ้านายไม่มีคุณธรรม” ก็จะนำพาให้หลงระเริงกับผลประโยชน์กลายเป็นผู้ร้ายเสียเองได้เช่นกัน
...
เรื่องนี้พูดมาเป็น 10 ปี “ไม่เคยได้รับการแก้ไข” ทำให้ผู้ถูกปลูกฝังคุณธรรมมาอย่างดี “ต้องทำตามระบบที่เป็นอยู่” แล้วคนทำตามไม่ได้ก็ต้องย้ายไปอยู่จุดที่ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด หรือลาออกจากระบบนี้ไปก็มี
ในส่วนกรณี “อดีตผู้กำกับโจ้ทำผิดมาจากการขยายผลคดียาเสพติดพลั้งมือ” แต่ก็ได้รับโทษตามคําพิพากษาของศาลไปแล้ว “การปฏิบัติในเรือนจำควรเป็นไปตามหลักมนุษยชน” โดยดูแลอย่างฐานะความเป็นคนเหมือนกัน ดังนั้นกรมราชทัณฑ์คงต้องมีมาตรการป้องกันมิให้เกิดการเสียชีวิตในระหว่างคุมขังซ้ำขึ้นอีก
ด้วยการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยอย่าง “นำหุ่นยนต์มาช่วยตรวจผู้ต้องขัง 24 ชม.” เพื่อทดแทนงานเจ้าหน้าที่ในการดูแลป้องกันผู้ต้องขังทำร้ายตัวเอง แม้ว่าการใช้เทคโนโลยีนี้จะมีราคาแพงแต่ก็เป็นการป้องกันการสูญเสียที่มักมาพร้อมกับภาพลักษณ์ขององค์กรอยู่เสมอ มิเช่นนั้นอาจสะท้อนปัญหาความล้มเหลวก็ได้
อย่างไรก็ดี ต้องให้ความเป็นธรรม “กรมราชทัณฑ์” ด้วยเคยทำการศึกษาวิจัยมานั้นพบว่ามีปัญหางบประมาณจนกำลังเจ้าหน้าที่ไม่ได้สัดส่วนกับผู้ต้องขังตามหลักสากล “ส่งผลให้โปรแกรมบําบัดผู้ต้องขังไม่มีประสิทธิภาพ” ดังนั้นต้องทบทวนเรื่องนี้ควบคู่กับการป้องกันไม่ให้คนกระทำผิดซ้ำเข้ามาในระบบเรือนจำด้วย
สุดท้ายนี้เมื่อเกิดกรณี “ผู้ต้องขังฆ่าตัวตาย” เสียชีวิตในระหว่างถูกควบคุมขังของเจ้าพนักงานตามกฎหมาย คงต้องถอดบทเรียนสู่ “การพัฒนาอุดช่องโหว่ช่องว่าง” เพียงแต่หน่วยงานรัฐต้องยอมรับกับปัญหาก่อนแล้วนำปัญหานั้นมาศึกษาแก้ไขก็จะก่อเกิดการปรับปรุงระบบให้ดีขึ้นได้...
คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม
...