ภารกิจ SEE TRUE ทีมข่าวสืบสวนสอบสวน “ไทยรัฐทีวี 32” แท็กทีม รังสิมันต์ โรม แฉเบื้องหลังความสัมพันธ์ไทยเทา–จีนเทา–กะเหรี่ยงเทา...ต่อลมหายใจ “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” โกยเงินบาปกว่า 500 ล้าน สะพัดริมน้ำเมย
แม้ทางการไทยจะมีมาตรการเชิงรุกตัดไฟฟ้า–ห้ามส่งน้ำมัน
นอกจากนี้ ยังมีภารกิจต่อเนื่องพา “อารยัน” ช่วยเหลือเพื่อน 12 คน ที่ยังติดอยู่ใน “ไท่ฉาง 2” เมืองบาปแห่งใหม่ โดยมีนาทีบาดหัวใจจ่ายเงิน “เรียกค่าไถ่หัวละแสน”
สะท้อนภาพอาชญากรรม “ขบวนการค้ามนุษย์” ที่ใช้วิธีการหากินกับเหยื่อ แลกอิสรภาพจากบอสจีน...ฉายภาพความเชื่อมโยง “พวกคนมีสี”...ไทยเทา...จีนเทา...กะเหรี่ยงเทา
ทีม SEE TRUE พบเอกสารที่สอดคล้องกับรายงานของสถาบันสันติภาพแห่งอเมริกา (USIP) เรื่องการสร้างเมืองสแกมเมอร์ในเมียวดี ปรากฏชื่อ “บริษัทของไทยแห่งหนึ่งในแม่สอด” ซึ่งเป็นเอกสารการเช่าที่ดินสร้างเมืองหวันหยา เมืองเคเคพาร์ค และเมืองไท่ฉางหรือเมืองช่องแคบ
“อาณาจักรอาชญากรรม” ที่หลอกลวงผู้คนให้สูญเงินมหาศาล

...
ประเด็นสำคัญมีว่าบริษัทนี้ทำการเช่าที่ดินจากบริษัทตัวแทนของทหารกะเหรี่ยง KNU ทั้ง 3 ที่ล้วนขึ้นชื่อว่ามีการซ้อมทารุณเหยื่ออย่างโหดร้ายที่สุด โดยบริษัทดังกล่าวมีเบื้องหลังเป็นข้าราชการมีสีในฝั่งไทยและเมียนมา
อีกทั้งทางเรายังได้รับเอกสารรายชื่อคนไทย 29 คน ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจกาสิโนฝั่งเมียวดีจำนวน 15 แห่ง โดยใน 20 คนนี้ มีรายชื่อบุคคลมีสีหลายหน่วยงานทั้งนอกและในราชการ ไล่เรียงลำดับยศสัญญาบัตรตั้งแต่นายร้อยไปจนถึงนายพลที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับสถานที่ค้ามนุษย์...“เมียนมา อพอลโลพาร์ค”
แหล่งข่าว SEE TRUE เปิดเผยว่า มีเงินจำนวนกว่า 500 ล้านบาท สะพัดอยู่ในกองกำลังพิทักษ์ชายแดน (BGF) นี่คือตัวเลขผลประโยชน์ที่กองกำลัง BGF ได้รับจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ทว่าเงินบาปส่วนหนึ่ง ถูกแบ่งสันปันส่วนมาที่ “ข้าราชการไทยเทา” ไม่ต่ำกว่า 35 ล้านบาทต่อเดือน

ต่อเนื่องประเด็น “ท่าข้าม” ทางผ่านสู่ขุมนรกคอลเซ็นเตอร์
“ผมไม่อยากระบุหน่วยงานแล้วกัน แต่ว่าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐที่ก็ไปเก็บกันอยู่ด้านหน้าท่า เขาคงเคลียร์กันก่อน วันนี้จะมีกี่คน คงมีการ ว.หากันก่อน แล้วก็ทำทีเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไม่เห็น แล้วก็แอบพากันไป” รังสิมันต์ โรม ให้ข้อมูลกับ “SEE TRUE” กรณีท่าข้ามที่เป็นทางผ่านพาตัวเหยื่อคอลเซ็นเตอร์สู่ขุมนรก
ตัวเลขกว่าสองหมื่นห้าพันบาทคือค่าผ่านทางที่ชายชาวจีนชื่อ “เดวิด” หนึ่งในสมาชิกขบวนการค้ามนุษย์ร่วมกับคนไทยในฝั่งไทยอ้างว่าเป็นเงินที่นำมาเคลียร์กับเจ้าหน้าที่ไทยต่อเหยื่อค้ามนุษย์ 1 คน และ..เมื่อเหยื่อค้ามนุษย์ถูกส่งข้ามไปถึงเมียนมาก็จะถูกขายต่อเป็นทอดๆในราคาหัวละหนึ่งแสนห้าหมื่นบาท
ส่วนวิธีการพาข้ามฝั่งนั้นขึ้นอยู่กับระดับที่แตกต่างกัน ระดับเหยื่อค้ามนุษย์ใช้วิธีการลักลอบผ่านทางหมาลอดหรือช่องทางธรรมชาติ ข้ามแม่น้ำเมยตามจุดต่างๆ ขณะที่บรรดา “บิ๊กบอสจีน” ทั้งหลายได้รับสิทธิพิเศษเดินทางอย่างวีไอพีด้วยรถยนต์ ผ่านทางสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 1

คำถามสำคัญมีว่า...เป็นไปได้อย่างไรที่ “บิ๊กบอสจีน” กว่า 100 คน ใช้เส้นทางนี้ข้ามไปมาระหว่างชายแดนสองประเทศ ทั้งที่ทางการไทยและเมียนมาอนุญาตให้เฉพาะคนไทยและเมียนมาข้ามจุดนี้โดยใช้บัตรผ่านชั่วคราวแบบวันต่อวันเท่านั้น เว้นแต่เจ้าหน้าที่รัฐจะ “เอาหูไปนา เอาตาไปไร่” เสียเอง?
คราวนี้ก็มาถึงอีกประเด็นสำคัญ นั่นก็คือ “เงินค่าไถ่ แลกอิสรภาพจากบอสจีน”
...
ด้วยความหวังอันริบหรี่ว่าลูกชายของพวกเขาอาจไม่ได้รับความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่รัฐ ทางครอบครัวเหยื่อค้ามนุษย์ชาวบังกลาเทศจึงฝากความหวังไว้กับ “อารยัน” เหยื่อค้ามนุษย์ที่สามารถหลบหนีออกมาได้จากเมืองไท่ฉาง 2 ทำให้เขาเลือกเดินทางกลับมาที่แม่สอดอีกครั้ง
เพื่อติดต่อกับชายคนหนึ่งชาวปากีสถาน หรือที่เรียกว่า “โบรกเกอร์” นายหน้าคนนี้อ้างว่ารู้จักกับทหาร BGF และ DKBA ซึ่งสามารถช่วยเหลือเพื่อนของอารยันทั้ง 5 คน ได้โดยที่ค่าใช้จ่ายอยู่ที่หัวละ 1 แสนบาทต่อคน มีค่าดำเนินการอีก 1 แสน รวมทั้งสิ้นราว 6 แสนบาท
แม้จะรู้ว่าเป็นวิธีที่ผิดกฎหมาย แต่อารยันเหลือทางเลือกไม่มากนัก จึงตัดสินใจจ่ายเงินจำนวนหนึ่งแสนเก้าหมื่นบาทให้กับนายหน้า แต่ 1 วันผ่านไป นายหน้าคนนี้กลับขาดการติดต่อ ทีม SEE TRUE จึงพาอารยันไปแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรแม่สอด เพื่อสอบปากคำและออกหมายเรียก หลังจากรู้ว่าตนถูกตำรวจออกหมายเรียก นายหน้าคนนี้ติดต่อกลับมาที่อารยันทันที เพื่อขอไกล่เกลี่ยและขอให้ยุติการดำเนินคดี

เมื่อตกลงกันทางโทรศัพท์แล้ว อารยันยืนคำขาดว่า ขอรับเงินคืนที่สถานีตำรวจภูธรแม่สอดช่วงเวลาประมาณ 2 ทุ่ม ซึ่งนายหน้าได้ส่งคนอื่นมาแทนเขา โดยใช้เวลาไม่กี่นาทีก็เสร็จสิ้นการคืนเงิน
...
ส่วนเพื่อนๆของอารยันทั้ง 5 คน และชาวบังกลาเทศคนอื่นๆ อีก 4 คน รวมเป็น 9 คน ที่ในเมืองไท่ฉาง 2 ได้รับความช่วยเหลือจากทหาร DKBA หลังจากอารยันขอความช่วยเหลือผ่านสื่อไทย รวมทั้งแหล่งข่าวของ SEE TRUE ในเมียนมาที่ต่างส่งรายชื่อเหยื่อเหล่านี้ให้ทหาร DKBA ซึ่งทุกคนได้รับอิสรภาพโดยไม่ต้องเสียค่าไถ่
“ทบทวนฟรีวีซ่า” กำจัดอาชญากรจีน รังสิมันต์ โรม ฝากทิ้งท้ายว่า เรื่องการทบทวนฟรีวีซ่า คือคอลเซ็นเตอร์มันมีได้เพราะมีคนอยู่ในนั้น ถ้ามันไม่มีคนมันจบนะแล้วคนเราก็เป็นตัวหลัก จีนเทานี่เป็นตัวรัน ส่วนไทยเทาเป็นเหมือนลมคือมันต้องมีไฟมีลมใช่ไหมมันถึงจะกระพือให้มันรุนแรงได้ขนาดนี้
ดังนั้น...ถ้าเรามีนโยบายสกัดกั้นไม่ให้บรรดาต่างชาติที่จะมาในพื้นที่แบบนี้ ถ้าเขาต้องขออนุญาตก่อน ไม่ใช่แจ้งให้ทราบนะ ต้องขออนุญาตคล้ายๆ “ดับเบิลวีซ่า” ผมคิดว่ามันอาจจะช่วยในการทำให้มันยากที่ “คอลเซ็นเตอร์” จะดำรงอยู่ เพราะถ้าให้เขาอยู่ในเมียวดีอย่างเดียว เขาก็ไม่อยู่
คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม