แม้ว่าการระบาดโควิด-19 “สามารถควบคุมการติดเชื้อจนเป็นโรคประจำถิ่น” แต่ก็ยังคงกลายพันธุ์อยู่ตลอด “เพื่อปรับตัวแพร่ระบาดลักษณะใหม่ๆ” ทำให้เกิดการพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ต่อเนื่องในทุกวันนี้

แต่ถ้าทอดบทเรียนจาก “โควิด” เป็นโรคอุบัติใหม่ต้นกำเนิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม การเคลื่อนย้ายประชากร “เกิดปฏิสัมพันธ์ของสัตว์และคน” ทำให้เพิ่มความเสี่ยงเกิดโรคอุบัติใหม่มากกว่าเดิมในอนาคต

เพื่อรับมือกับปัญหาในการสร้างระบบเฝ้าระวังโรค ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หน.ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บรรยายในหัวข้อโอกาสและแนวโน้มการเกิดโรคอุบัติใหม่ในโลกอนาคต ในหลักสูตร ลสก.2 จัดโดยสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ว่า

หากย้อนไปช่วงต้น “เกิดโควิด” ประเทศไทยมีการล็อกดาวน์เพื่อลดการระบาดเหมือนซื้อเวลา สุดท้ายก็หนีไม่พ้นการระบาดใหญ่พอผ่านพ้นไป 4-5 ปี “ทุกอย่างเหมือนจะสงบลง” แต่ว่าโควิดยังมิได้หมดไปเพียงแต่ปรับเปลี่ยนมาเป็น “โรคประจําฤดูกาล” แล้วความรุนแรงก็ลดลง โดยในปีที่แล้วการสูญเสียชีวิตอยู่ที่ 200 กว่าคน

ส่วนหนึ่งมาจาก “วิวัฒนาการของตัวไวรัส และภูมิต้านทานจากวัคซีน” ส่งผลให้ตัวโรคไม่รุนแรงเมื่อเทียบกับการระบาดช่วงแรกๆ เหตุนี้ทำให้เราสามารถอยู่กับโควิดเสมือนเป็นโรคไข้หวัดชนิดหนึ่งไปแล้ว

ขณะที่ “กระทรวงสาธารณสุข” ก็รายงานผู้ป่วยจริงถึงเดือน ต.ค.2565 จากนั้นแจ้งเฉพาะผู้ป่วยหนักนอนโรงพยาบาล “ไม่รายงานตัวเลขผู้ติดเชื้อ” แม้แต่องค์การอนามัยโลกก็รายงานตัวเลขผู้ติดเชื้อทั่วโลกหลักแสนราย/เดือน ตัวเลขจริงสูงกว่านั้น 100 เท่า แต่โควิดยังกลายพันธุ์ตลอดปัจจุบัน JN.1 เป็นสายพันธุ์ระบาดหลายประเทศ

...

หากมาถอดบทเรียน “ผลกระทบโรคระบาดร้ายแรง” สิ่งที่สำคัญต้องไม่ตระหนก “บทบาทสื่อ” มีอิทธิพลมากต่อทิศทางการจัดการโรคหากข้อมูลเผยแพร่ไม่ถูกต้อง “สร้างความตื่นตระหนกเกินไป” อาจส่งผลให้เกิดการใช้ทรัพยากรไม่จำเป็น ถ้าควบคุมการสื่อสารได้ดี “อาจลดค่าใช้จ่าย” ในการรับมือกับโรคระบาดได้มากกว่านี้

ส่วนการเตรียมรับมือ “บุคลากร” ต้องเพิ่มทักษะให้มีความพร้อมต่อสู้กับโรคระบาด และคิดค้นนวัตกรรมใหม่ “หากฉุกเฉินจะรับมือได้” ขณะที่ประชาชนต้องดูแลสุขอนามัยอย่างที่ปฏิบัติเหมือนที่ผ่านมาก็พอเพียง

ความจริงหากมองย้อนกลับไปในช่วงการระบาด “ประเทศไทย” เป็นประเทศหนึ่งที่พร้อมในการต่อสู้กับโรคระบาดได้ดี ทั้งด้านการดูแลผู้ป่วย การควบคุมการแพร่ระบาด อันจะเห็นว่าอัตราการเสียชีวิตค่อนข้างน้อย

ฉะนั้นถึงจะมีการระบาดใหม่ก็เชื่อว่า “ประเทศไทยมีความพร้อมในการับมือกับโรคได้ดี” โดยการป้องกันจะเป็นส่วนสำคัญมากอย่าง “ประชาชน” ต้องดูแลสุขภาพอนามัยพยายามทำให้ร่างกายแข็งแรงหมั่นออกกําลังกายสม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องไม่ตื่นตระหนก และยึดปฏิบัติตามที่ทางการกำหนดจะดีที่สุด

ไทยเสี่ยงโรคอุบัติใหม่ ชี้จุดระบาดใหญ่ทุก 20 ปี

จริงๆแล้ว “โรคอุบัติใหม่เกิดในไทยเป็นระยะ” หากย้อนดูอย่างกรณีการระบาดไข้หวัดนก H5N1 เกิดการระบาดในปี ค.ศ.2003 เริ่มจากไก่ และนกตายใน จ.นครสวรรค์ และพบเด็กติดเชื้อใน จ.กาญจนบุรี “ไก่ก็ทยอยตายเป็นร้อยๆล้านตัว” ทำให้เริ่มศึกษาสามารถรายงานไข้หวัดนกข้ามมาติดต่อเสือถูกตีพิมพ์ในวารสารต่อมา

ล่าสุดสหรัฐฯเผชิญ “ไข้หวัดนกในวัว” แต่วัวไม่ตายเชื้อไวรัสออกมากับนมวัวคนดื่มติดเชื้อมากมาย ส่วนประเทศไทยรายงานระบาดครั้งสุดท้ายปี 2006 “แล้วพยายามบอกว่าไม่มีการระบาด” ขณะที่ปี 2023 ประเทศเพื่อนบ้านมีผู้ป่วยไข้หวัดนกเสียชีวิต 4-5 ราย ดังนั้นเราต้องเฝ้าระวังไข้หวัดนกมีโอกาสกลับมาระบาดอีกเมื่อใดก็ได้

เช่นเดียวกับ “ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009” ต้นตอจากไข้หวัดหมู ไข้หวัดมนุษย์ และไข้หวัดนกกลายร่างมาเป็นไขหวัดใหญ่ “ระบาดมา 10 กว่าปี” แม้มียารักษาแต่ไม่ได้หมดไปยังระบาดช่วงฤดูหนาวมาถึงปัจจุบัน

ไทยเสี่ยงโรคอุบัติใหม่ ชี้จุดระบาดใหญ่ทุก 20 ปี

ถัดมา “ไวรัสตับอักเสบบี” ปัญหาเด็กเกิดใหม่ได้รับจากแม่สู่ลูกในอัตราที่สูงมาก “ต้องเจาะเลือดแม่ทุกคนที่คลอด” หากพบจะฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบบีให้ลูกทันที แล้วก็ศึกษาต่อพบว่าชะนีมีไวรัสตับอักเสบบีเช่นกัน หากถูกชะนีกัดสามารถข้ามสายพันธุ์มาสู่คนได้ “เพียงแต่ยังไม่เกิด” จึงต้องหาวิธีการป้องกันไวรัสในชะนีด้วย

...

ตอกย้ำว่า “การระบาดของโรคอุบัติใหม่ในอนาคต” มักมีปัจจัยอยู่ 3 เรื่องหลักไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ สัตว์ และสิ่งแวดล้อม “เมื่อใด ก็ตาม 3 สิ่งนี้ขาดความสมดุลหลอมรวมใกล้ชิดกัน” มักนำมาซึ่งการเกิดโรคระบาดขึ้นเสมอ แล้วหากดูย้อนกลับไป 100 ปี กรณีการเกิดโรคอุบัติใหม่ล้วนมีพาหะ
มาจากสัตว์แทบทั้งสิ้น

สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นอีก 10 ปี หรือ 20 ปีข้างหน้า “ย่อมมีโอกาสเกิดโรคใหม่ขึ้นแน่นอน” ส่วนใหญ่จะเป็นไวรัสข้ามมาจากสัตว์มาสู่คนเพียงแต่จะมีความรุนแรงมากน้อยเท่าใดเท่านั้น เพราะหากย้อนหลังดูในช่วง 30 ปีมานี้ 75% การระบาดของโรคล้วนเป็นไวรัสมาจากสัตว์ และสิ่งแวดล้อม เป็นองค์ประกอบก่อให้เกิดขึ้นแทบทั้งสิ้น

อย่างเช่น “โคโรนาไวรัส” ไม่ว่าจะโคโรนาไวรัส 229E, OC43 และ HKU1 จุดเริ่มต้นมาจากค้างคาวข้ามมาสู่ “คน” แม้แต่โรคซาร์สต้นตอคือ “ค้างคาว ชะมด” เกิดการระบาดในปี 2003 จากจีนไปฮ่องกง ผู้ติดเชื้อ 8,000 คน

จนมาถึง “โควิด” มาจากอะไรไม่รู้แต่สมมติฐานว่า “ค้างคาว หรืองู” จากการถอดพันธุกรรมใกล้เคียงกัน “สัตว์ตัวกลางคือแพงโกลิน” ดังนั้นต้องป้องกันการทำลายป่า ค้าสัตว์ สิ่งนี้มีแนวโน้มก่อให้เกิดโรคระบาดในอนาคต

ไทยเสี่ยงโรคอุบัติใหม่ ชี้จุดระบาดใหญ่ทุก 20 ปี

...

จริงๆแล้วการเตรียมรับมือโรคอุบัติใหม่ “บุคลากรคือหัวใจสำคัญ” ไม่ใช่แค่มีเวชภัณฑ์ หรือวัคซีน แต่บุคลากรทางการแพทย์ต้องมีความรู้ ความสามารถและคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆเพื่อรองรับโรคอุบัติใหม่ที่จะเกิดขึ้น

ยิ่งกว่านั้น “การเตรียมบุคลากรรับมือโรคระบาดจำเป็นต้องเตรียมการตั้งแต่เด็ก” เนื่องจากโรคอุบัติใหม่ครั้งใหญ่อาจเกิดขึ้นอีก 100 ปีข้างหน้าก็ได้ เพราะภาวะโลกร้อน “มักมีความเสี่ยงก่อให้เกิดโรคระบาด” จากโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมักเป็นปัจจัยอาจนำมาซึ่งการเกิดโรคใหม่ๆในอนาคตได้เสมอ

แล้วด้วยความเป็นโลกาภิวัตน์ “ประเทศไทยเชื่อมโยงกับนานาประเทศ” ดังนั้นคำถามที่ว่าประเทศไทยจะเป็นประเทศแรกที่เกิดโรคอุบัติใหม่หรือไม่? “เรื่องนี้ทุกประเทศมีโอกาสเท่าเทียมกัน” เพราะปัจจัยเสี่ยงไม่ได้จำกัดอยู่ที่พื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง แต่ขึ้นอยู่กับการรับมือ และความสามารถในการควบคุมโรคของแต่ละประเทศ

ฉะนั้นบทเรียนโควิด “ต้องเตรียมพร้อมบุคลากร” เพราะเราไม่อาจหลีกเลี่ยงโรคระบาดได้แต่สามารถควบคุมด้วยการร่วมมือกัน แม้อนาคตมีโรคอุบัติใหม่ “ประเทศไทย” ก็ยังรับมือความท้าทายนี้ได้.

คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม